สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน


หน้า1 I หน้า2 I หน้า3 I หน้า4 I หน้า5 I หน้า6 I หน้า7 I หน้า8 I หน้า9 I หน้า10 I หน้า11

ในโลกนี้มีเรื่องราวมากมายที่รอการรับรู้
มีความจริงมากมายที่รอให้ปวดใจ

เข้าเขตอำเภอปากช่องด้วยเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษ และเลยตัวอำเภอไปไม่ไกลเท่าไรนัก นายบุญทองก็เลี้ยวรถเข้าสู่ถนนลูกรัง ใต้ร่มเงาของต้นหางนกยูงที่กำลังออกดอกสีส้มสดเต็มต้น เบื้องหน้าคือกระท่อมไม้ที่ห้อมล้อมด้วยหมู่ต้นเฟื่องฟ้าหนาแน่น
“ถึงแล้วหมอ คุณพ่อของคุณอยู่ข้างในนั้นรีบไปเถอะ”
นายแพทย์นพพรรีบลงจากรถเดินกึ่งวิ่งผ่านเนินหญ้าเข้าไปในกระท่อมไม้หลังนั้น และเมื่อเขาผ่านเข้าประตูไป พระเจ้า... ร่างของชายชราผมหงอกขาวโพนที่นอนซมอยู่บนเตียงนั่น... คือพ่อของเขานั่นเอง นายแพทย์นพพรผวาเข้าไป
“พ่อ พ่อ พ่อครับผมมาแล้ว”

เปลือกตาที่สั่นระริกของชายชรา ค่อยๆแย้มเปิดขึ้นด้วยความยากลำบาก นายแพทย์นพพรรีบจับชีพจรของพ่อ โอ้พระเจ้า...เขารู้สึกเย็นสะท้านกลางแผ่นหลัง เขามาช้าไปชีพจรของชายชราเต้นช้าลง ช้าลงและกำลังจะหยุดเต้น ร่างของชายชราผู้เป็นพ่อซูบผอมจนแทบจะเหลือเพียงหนังที่ห่อหุ้มกระดูก เขารวบรวมกำลังเท่าที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิด บีบมือลูกชายแผ่วเบา... เขามีกำลังเหลือเพียงเท่านั้น ก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงและมือของเขาก็หมดกำลังคลายออกช้าๆ

ระหว่างความเป็นกับความตาย
หนาวเหน็บและ...เจ็บแปลบ

นายแพทย์นพพรร้องไห้คร่ำครวญซบหน้าลงบนร่างที่ไร้วิญญาณของผู้เป็นพ่อ พ่อรอเขาอยู่ รอที่จะพบหน้าลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย และรอจนวินาทีสุดท้ายบุญทองนั่งน้ำตารินไหลอาบแก้มอยู่ข้างๆปลายเท้าชายชรา
ผู้จากไป และซบหน้าลงตรงนั้น ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปยืนที่ราวระเบียงหน้ากระท่อม ด้วยใบหน้าที่ยังคงชุ่มโชกไปด้วยหยาดน้ำตา

ชีวิตเกิดมาพร้อมกับลมหายใจ
และจากไป...พร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้ายด้วยเช่นกัน

เขาจากไปแล้ว จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เพียงสัมผัสสุดท้ายเท่านั้นที่แทนคำร่ำลา โอ้...พระเจ้า... เขาต้องการเพียงเพื่อจะพบลูกชายในวาระสุดท้ายของชีวิตเท่านั้นนะหรือ นายแพทย์นพพรกราบลงที่แทบเท้าร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นพ่อ แล้วลุกขึ้นตามหลังบุญทองออกไป สายตาของบุญทองมองตรงไปที่ปากทางเข้าไร่ และรำลึกถึงภาพในอดีตที่ไม่เคยลางเลือนไปจากความทรงจำ

จากอดีต...สู่ปัจจุบัน
จากมิติหนึ่ง...สู่มิติหนึ่ง
ความคิดคำนึง...มโนภาพผ่านกำแพงกาลเวลา

เช้าตรู่วันนั้นที่ปากทางเข้าไร่ ปรากฎร่างของชายสูงอายุในชุดซาฟารีสีน้ำเงินเข้ม ก้าวลงมาจากรถโดยสารประจำทางพร้อมกระเป๋าเดินทาง เขาไม่ได้เดินผ่านซุ้มประตูเข้ามาในทันที รถโดยสารคันนั้นค่อยๆเคลื่อนออกไป แต่เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น สายตาจ้องมองไปที่รั้วลวดหนาม ซึ่งเรียงรายไปด้วยผืนผ้าเช็ดหน้าหลากสี ผูกปมห้อยเป็นทิวแถวอยู่ที่ลวดหนามเส้นบนสุดข้างซุ้มประตูทั้งสองฝั่ง ตั้งแต่มุมรั้วด้านหนึ่งห่างกันเป็นช่วงๆ ตลอดแนวจรดเสาซุ้มประตู และข้ามไปอีกด้านหนึ่งเพียงช่วงสั้นๆไม่กี่ผืน สายลมที่พัดกรรโชกมาในยามนั้น ชายผ้าพลิ้วสะบัดไหว คล้ายทักทายต้อนรับผู้มาเยือน เขาก้มมองไปตามพื้นทางเดินเบื้องหน้า ซึ่งเกลื่อนกลาดไปด้วยดอกหางนกยูงสีส้มแสดที่ร่วงลงมา กิ่งใบแผ่กว้างเป็นร่มเงาตลอดทั้งสองฝั่ง และที่สุดทางสายดอกหางนกยูงนั้น ภายในรั้วเฟื่องฟ้าหลากสีโดดเด่น กระท่อมไม้ชั้นเดียวยกพื้นหลังนั้น ประตูแง้มเปิดกว้างเหมือนรอคอยใครบางคน

ความรักล่ามหัวใจไว้กับความผูกพัน
กักขัง...รอคอยให้เวลา...ดูแล

ภาพในเช้าวันนั้นยังคงติดตาตรึงใจของบุญทอง ซึ่งยืนมองออกมาจากท้ายไร่ข้าวโพด ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เขาผู้นั้นเดินผ่านซุ้มประตูเข้ามา จนบุญทองเริ่มสะกิดใจ เมื่อเขา... ชายผู้นั้นได้เอื้อมมือไปแก้ปมผ้าเช็ดหน้าเหล่านั้น และเก็บเอาลงมาจนหมดสิ้น
“ใช่แน่แล้ว...”
บุญทองพึมพำกับตัวเองลิงโลดดีใจ วิ่งไปที่กระท่อมน้อยในหมู่มวลพุ่มเฟื่องฟ้าหลังนั้น
“อาเพ็ญ อาเพ็ญ เขามาแล้ว เขามาแล้ว”
บุญทองวิ่งไปตะโกนไป บุคคลที่อาหญิงของเขารอคอยมานานแสนนาน บัดนี้ได้มาถึงแล้ว ...เขามาแล้ว ดวงอาทิตย์เริ่มจะโผล่พ้นทิวเขาทางฝั่งตะวันออก สาดส่องแสงรองเรือง ที่ระเบียงหน้ากระท่อมปรากฎร่างของสตรีสูงวัยผู้หนึ่ง ยืนเกาะราวระเบียงเพ่งมองไปเหนือรั้วพุ่มเฟื่องฟ้า ไกลออกไปที่ประตูทางเข้า ก่อนจะถลารีบลงมาหยุดยืนอยู่ตรงที่หน้ารั้วทางเข้าสู่อุทยานของเธอ และเพ่งพินิจมองดูอีกครั้ง... และอีกครั้งฝ่ามือทั้งสองของเธอยกขึ้นปิดแนบหน้า แล้วค่อยๆเลื่อนต่ำลงมาช้าๆ ที่มองเห็นเป็นเพียงภาพฝันที่คุ้นเคย... มโนภาพในความคิดคำนึง หรือความจริงกันแน่...

ความจริงบางครั้งเหมือนฝัน...ทั้งที่อยู่กันคนละโลก

เธอก้าวไปข้างหน้าและไม่ไกลนัก เขาผู้นั้นกำลังเดินใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาพร้อมกับหอบผ้าเช็ดหน้าในอ้อมแขนข้างหนึ่ง ยิ่งใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา เสมือนมีพลังดูดดึงทั้งเขาและเธอให้ก้าวเร็วขึ้น เร็วขึ้นทุกที และทุกก้าวย่างบนผืนพรมดอกหางนกยูง เธอมองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้วนอกจากเขา เขาผู้ที่มาหยุดยืนอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม... แค่เอื้อมเท่านั้น
“ไม่ต้องรออีกแล้ว…เพ็ญ”
นั่นเป็นประโยคแรกที่เขากล่าว ประโยคที่ได้ปลดปล่อยเธอให้พ้นจากโซ่ตรวนแห่งกาลเวลา คำพูดที่ทำให้การรอคอยของเธอเหลือเพียงแค่อึดใจเดียว ก่อนที่มันจะถูกทลายลงด้วยแสนยานุภาพที่ไร้ตัวตน

ความปลื้มปิติกระทบความตื้นตัน...กลั่นตัวเป็นหยาดน้ำตา

เธอซบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาแนบอยู่กับอกนั้น สองแขนสวมกอดสะอื้นไห้
“ในที่สุดพี่ก็มา... พี่มาแล้วจริงๆด้วย เพ็ญไม่ได้ฝัน”
เธอเพ้อพร่ำรำพัน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นในอ้อมแขนของเขาที่โอบรัดเธอไว้แน่นเช่นกัน
“หัวใจพี่อยู่ที่นี่ พี่มาหาหัวใจของพี่...”และเมื่อเขาหลับตาลง หยาดน้ำใสที่ขังเอ่ออยู่ก่อนแล้วที่ขอบตาทั้งสองของเขาก็ล้นรินร่วงลงมาจนหมดสิ้น

ถ้าความรักคือการลงทุน
การรอคอยก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุน

บุญทองยืนสงบนิ่งมองดูอยู่ข้างกระท่อม เพียงรอยยิ้มที่ปนเปื้อนอยู่กับน้ำตาบนใบหน้าของเขาเท่านั้น ที่สามารถบอกได้ถึงความรู้สึกที่อยู่ข้างในนั้น และน้ำตาของเขาก็ได้ไหลซึมออกมาอีกครั้ง เมื่อเขาได้ถ่ายทอดภาพในความทรงจำของเขาในวันนั้น ให้นายแพทย์นพพรได้รับรู้ นายแพทย์นพพรนิ่งเงียบ จากคำบอกเล่าของบุญทอง เสมือนหนึ่งตัวเขาเองได้เข้าไปมีส่วนร่วมรู้เห็น และสัมผัสกับเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยตัวเอง
“อาเพ็ญ ยอมที่จะแลกเวลาครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เหลือ กับเวลาเพียงเศษเสี้ยวเดียวในบั้นปลายของชีวิต ทุกลมหายใจเข้าออก แต่ละวินาทีที่ผ่านไปมันไม่เคยสูญเปล่า สำหรับอาเพ็ญนั่นคือการรอคอย รอคอยด้วยชีวิต...”
บุญทองเหมือนจะรำพัน น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นคลอจนนายแพทย์นพพรรู้สึกสลดใจ

เวลาไม่เคยล่าช้าหรือมาก่อนกำหนด
เวลาได้พิสูจน์แล้ว
เวลาได้ตอบคำถามแล้ว
เวลาไม่เคยบิดเบือน

“ทุกปีอาเพ็ญจะเอาผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่ ไปผูกติดไว้ที่ลวดหนามรั้วทางเข้า ถ้าคนที่ท่านรักผ่านมาเขาจะได้รู้ว่าอาเพ็ญยังคอยเขาอยู่ เขาจะไม่ลังเลเลยที่จะเดินเข้ามา ผมเฝ้าดูผ้าเช็ดหน้าพวกนั้นเพิ่มขึ้นทุกปี ทุกปี ปีแล้วปีเล่า... สำหรับผมแล้วมันไม่คุ้มกันเลย แต่สำหรับอาเพ็ญผู้น่าสงสาร แม้เพียงเศษเสี้ยวเดียวของวินาที ก็สามารถทดแทนวันเวลาที่สูญเสียไปทั้งหมดได้”

นายแพทย์นพพรไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบนโลกนี้ได้ มันน่าจะเป็นบทละครเศร้าเสียมากกว่า อะไรที่ทำให้ผู้หญิงอาภัพคนนั้น มั่นคงและรอคอยได้นานถึงเพียงนั้น ความรักหรือ...มันมีอนุภาพมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ...

ความรัก ทางผ่านของพระเจ้าสู่มวลมนุษย์

“ผมเคยชิงชังเคียดแค้นพ่อของคุณที่ปล่อยให้อาเพ็ญต้องทุกทรมานรอคอย แต่เมื่อผมได้เห็นท่านครั้งแรกในวันนั้น ผมแทบจะกราบแทบเท้าของท่าน ความรู้สึกชิงชังหายไปหมดสิ้น ผมศรัทธาในความเป็นลูกผู้ชายของท่าน บูชาการมาของท่าน เพราะนั่นเปรียบเสมือนการชุบชีวิตของอาเพ็ญ ให้ฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง”

นายแพทย์นพพรเริ่มเข้าใจผู้เป็นพ่อของเขาอย่างถ่องแท้ พ่อจะสุขอยู่ได้อย่างไรทั้งที่รู้ว่าใครคนหนึ่งกำลังรอคอยอยู่... และทุกครั้งที่ผ่านปากช่อง ผ่านไร่ที่มีผ้าเช็ดหน้าผูกติดอยู่ที่รั้วลวดหนามและเห็นผ้าเช็ดหน้าเหล่านั้นเพิ่มขึ้น...เพิ่มขึ้นทุกปี พ่อจะรู้สึกเจ็บร้าวสักเพียงใด พ่อจะมีชีวิตอยู่บนความขมขื่นของคนอีกคนหนึ่งได้อย่างนั้นนะหรือ

ความลับของผู้เป็นพ่อมักจะยิ่งใหญ่เสมอ โอ้...พระเจ้าท่านได้สร้างเขาขึ้นมาด้วยอวัยวะส่วนใดของพระองค์กันแน่...
"แล้วตอนนี้ อาเพ็ญอยู่ที่ไหนครับ”
“อาเพ็ญ รอพ่อคุณอยู่ที่นั่น...”
บุญทองหันมองไปที่เนินดินกลางสนามหญ้าเขียวขจีเบื้องหน้า นายแพทย์นพพรรู้ได้ทันทีว่านั่นไม่ใช่แค่เนินดินอย่างที่คิดแต่แรก ...แต่เป็นหลุมศพ ภายใต้ผืนดินกลบฝังร่างของหญิงผู้ภักดีรอคอย และการรอคอยของเธอก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว...อีกครั้งหนึ่ง

ณ ที่ตรงนั้น...แสนยานุภาพแห่งการรอคอยของเธอยังคงทรงอนุภาพอยู่เหนือเนินดิน นายแพทย์นพพรก้มกราบลงพร้อมกับช่อเฟื่องฟ้าบูชาให้กับความรักและการรอคอยอันเป็นสรณะของเธอ และถ้าหากว่าเธอสามารถรับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณของเขา เขา...เทิดทูนเธอ

ความรักเป็นเพียงความรู้สึกหนึ่ง
ที่ซุกซ่อนปะปนอยู่ในอารมณ์
...มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา...เพื่อประทังชีวิต

เขากลับเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง เงียบสงบ...พ่อของเขากำลังนอนหลับ...พักผ่อน นายแพทย์นพพรดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าพ่อ บางทีแสงสว่างที่เล็ดลอดเข้ามาอาจจะรบกวนการนอนอันเป็นนิรันดร์ของผู้เป็นพ่อ เขามองเหลียวไปรอบๆ ดวงวิญญาณของพ่ออาจจะยังคงวนเวียนอยู่ในห้องนั้น และอาจจะกำลังมองดูเขาอยู่ ผ้าเช็ดหน้าหลายสิบผืนถูกพับวางเก็บไว้อย่างดี บนชั้นในตู้กระจกมุมห้อง นายแพทย์นพพรสังเกตเห็นว่าผ้าเช็ดหน้าบางผืนมีรอยขาดหวิ้น บางผืนสีซีดจาง มีอยู่เพียงไม่กี่ผืนที่ยังคงสภาพอยู่ และมีอยู่เพียงผืนเดียวเท่านั้นที่สีสดเข้ม นั่นคงเป็นผ้าผืนสุดท้ายที่ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มภาคภูมิ และอาจจะมีบ้างบางผืนที่ยุ่ยสลายหายไปกับกาลเวลา แต่นั่นมิได้หมายความว่ามันจะสูญเปล่า

เย็นวันนั้น นายแพทย์นพพรโทรศัพท์เล่าเรื่องทั้งหมดให้ภรรยาฟังอย่างคร่าวๆ และกำชับเธอไม่ให้บอกผู้เป็นแม่ถึงสิ่งที่ได้รับรู้ เขาไม่อยากให้แม่ต้องปวดร้าวมากไปกว่าที่เธอเป็นอยู่ เพราะนั่นจะเป็นการทำร้ายเธอซึ่งบอบช้ำอยู่ก่อนแล้ว ให้ทรุดหนักลงไปอีก

นายแพทย์นพพรต้องอยู่ต่อเพื่อจัดการงานศพพ่อ และบางสิ่งบางอย่างที่พ่อของเขาได้สั่งเสียไว้กับบุญทอง เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถจะทำได้...เพื่อพ่อ แม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม พิธีศพผ่านไปอย่างเรียบง่ายเงียบสงบ ด้วยความช่วยเหลือของบุญทองกับญาติของเขาเพียงไม่กี่คน

นายแพทย์นพพรขุดหลุมฝังศพของผู้เป็นพ่อข้างๆหลุมศพของเพ็ญ ซึ่งได้จากไปแล้วก่อนหน้านี้ ตามความปรารถนาครั้งสุดท้ายของพ่อของเขา เท่านั้นเองที่นายแพทย์นพพรสามารถทำได้... เท่านั้นเอง...เขามองหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะค่อยๆหย่อนร่างไร้วิญญาณของท่านสู่ดิน... สู่อ้อมอกของเพ็ญ...สู่อุ้มพระหัตถ์แห่งพระเจ้า สองร่างที่นอนสงบอยู่ภายใต้ผืนดินแห่งนั้นจะไม่มีวันพรากจากกัน... ตราบชั่วนิรันดร์

นายแพทย์นพพรยังคงอยู่ต่อที่ปากช่อง และพักที่กระท่อมหลังนั้นอีกคืนหนึ่ง บนม้ายาวริมระเบียงหน้ากระท่อมคืนนั้น เขาได้ขอให้บุญทองเล่าเรื่องราวการดำเนินชีวิตของพ่อของเขากับเพ็ญ เพราะบุญทองเป็นคนเดียวที่ได้รับรู้ และมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องกับบั้นปลายชีวิตของคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด

ความรักทรงอนุภาพ
และมีความหมายอยู่ในตัวเอง...อยู่ได้ด้วยตัวเอง

ชีวิตของเพ็ญได้เริ่มต้นอีกครั้ง ดวงตาที่ฉายแววอาดรูอยู่ตลอดเวลากลับเปล่งประกายสดใส ใบหน้าที่เคยหมองหม่นเศร้าสร้อยกลับอิ่มเอมสดชื่น เธอไม่เคยไถ่ถามถึงเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของชายผู้เป็นที่รัก ไม่เคยตัดพ้อถึงวันเวลาที่สูญเสีย ไม่เคยพรอดรำพันถึงความขมขื่นรอคอยของเธอ ทุกอย่างถูกชะล้างจนหมดสิ้น เพื่อที่จะได้บรรจุวันเวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดของคนทั้งสอง

ความเชื่อได้ผ่านการทดสอบแล้ว....ด้วยการศรัทธา...ชีวิต

เมื่อขอบฟ้าเรืองรอง ก่อนพระอาทิตย์จะโผล่พ้นแนวสันเขา ภายใต้กิ่งก้านใบของต้นหางนกยูงที่ปกคลุม ปรากฎร่างของชายหญิงชราคู่หนึ่ง เดินเกาะกุมเกี่ยวแขนรับกลิ่นไอแห่งรุ่งอรุณ ดอกหางนกยูงที่หลุดลอยร่วงหล่น เหมือนจะโปรยรองรับให้กับความชื่นทรวง อาหารมื้อเช้ากับแสงแดดอ่อนๆริมระเบียง ชีวิตสันโดดเรียบง่าย ค่ำคืนภายใต้ขอบฟ้ากว้าง ไม่มีดาวตกดวงใดที่ไม่ได้รับคำอธิษฐานขอพร จากเขาและเธอที่ริมระเบียง บุญทองได้แต่มองดูอยู่ห่างๆ และเก็บภาพชีวิตเหล่านั้นไว้ ด้วยความปลาบปลื้มใจ

ตราบใดที่สมองยังคงสั่งการ
ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
จะหัวเราะหรือร้องไห้
ความทรงจำไม่เคยลำเอียง...

วันเวลาแห่งความสุขผ่านไปราวติดปีกบิน เพ็ญเริ่มมีอาการหน้ามืดอยู่บ่อยๆด้วยโรคความดันโลหิต ระพินเริ่มเป็นทุกข์วิตกกังวล ในขณะที่หญิงชราเยือกเย็นสุขุมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาการป่วยของเธอเริ่มรุนแรงและถี่ขึ้น จนยากแก่การเยียวยา

แม้จะยื้อยุดหยุดวันและเวลาเอาไว้ได้
ชีวิตก็ยังคงเป็น...ชีวิต
ชีวิต...มีวงจร...ชีวิต

ร่างของหญิงชรานอนแน่นิ่งเหยียดยาวอยู่บนเตียง ด้วยลมหายใจที่อ่อนระทวย ในวงแขนของชายชราที่กอดเธอไว้แน่นราวกับว่าจะกลัวร่างนั้นหลุดลอยไป ดวงตาที่แห้งผากของเธอจับจ้องอยู่บนใบหน้าของชายชราผู้เป็นที่รัก เพื่อจะจดจำเป็นครั้งสุดท้าย... ไม่มีน้ำตาสักหยดในแอ่งน้ำตาที่ตื้นเขินของเธอ บนใบหน้าของหญิงชราผู้กำลังจะสิ้นลมกลับปรากฎร่องรอยแห่งความปิติสุข

ความรัก...แม้ไม่ได้รับการนมัสการ
แต่ก็ได้ถูกขนานนามในพระคัมภีร์

“เพ็ญช่างโชคดีเสียเหลือเกิน ที่ได้ตายในอ้อมอกของคนที่รัก ให้เพ็ญสิ้นใจเสียเดี๋ยวนี้เถอะ ก่อนที่พี่จะอ่อนล้าแล้วคลายวงแขนออกจากเพ็ญ”
“ไม่นะเพ็ญ พี่จะกอดเพ็ญไว้อย่างนี้ พี่จะไม่อ่อนล้า อย่าเพิ่งจากพี่ไปเลยนะเพ็ญ อยู่กับพี่อีกสักหน่อยเถอะ ถ้ามันจะไม่ทำให้เพ็ญต้องทุรนทุราย...”

ในอ้อมกอด...แห่งรัก....วิญญาณพร้อมจะดับจิต

ชายชราวิงวอนด้วยหยาดน้ำตาที่มีอยู่ทั้งหมด กับวิญญาณที่ได้ออกจากร่างไปแล้วของเพ็ญ เธอได้จากไปแล้วอย่างสุขสงบ ในเรียวแขนของเขาที่ยังคงกอดรัดร่างนั้นไว้แน่น...และเนิ่นนาน ไม่มีคำพูดใดจากริมฝีปากที่ซีดจาง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดจากร่างที่ไร้วิญญาณ มีเพียงน้ำตาสีขุ่นเข้มของชายชรา ที่ยังคงไหลรินออกมาเป็นสายเลือด ร้องขอ...วิงวอนกับพระเจ้า พระเจ้าที่กำลังหลับใหลอยู่บนแท่นบรรทม

นายแพทย์นพพรกับบุญทองนิ่งเงียบตั้งสติ เพื่อบางสิ่งบางอย่าง...เพื่อปลดปล่อยน้ำตาให้เป็นอิสระ คารวะให้กับความเศร้าสลด... ให้เวลากับความสะเทือนใจได้ผ่านพ้นไป... นี่หรือคือบางสิ่งบางอย่างที่พ่อของเขาต้องทำในบั้นปลายชีวิต นี่หรือคือวันและเวลาที่เหลืออยู่... วันเวลาเหล่านี้หรือที่เขาวิงวอนขอ... วันเวลาเหล่านี้หรือที่เขารอคอยมาเกือบจะทั้งชีวิต ราวกับว่ามันเป็นบำเหน็จของชีวิต


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน

ในวังวนชีวิตที่เวิ้งว้าง...ว่างเปล่า
มนุษย์ดิ้นรน...ตะเกียกตะกาย ไขว่คว้า...เพื่ออะไร

Positive Thinking Quotes and Saying