สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน


หน้า1 I หน้า2 I หน้า3 I หน้า4 I หน้า5 I หน้า6 I หน้า7 I หน้า8 I หน้า9 I หน้า10 I หน้า11

เวทนา...สงสารหรือเห็นใจ
ถ้าเพียงแค่นั้นที่น้ำตาสามารถแลกได้
หัวใจเธอก็พร้อมที่จะจมน้ำตา

“เพ็ญจะรอพี่...”
ระพินแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง
“อะไรนะ...เพ็ญ”
“เพ็ญจะรอพี่...”
นั่นไม่ใช่คำพร่ำเพ้อ มันเป็นสัจจะวาจา เป็นคำมั่นสัญญา ระพินรู้สึกได้ทันทีถึงแสนยานุภาพนั้น

ประกาศิตรัก...แม้แต่ขบวนพยุหะยาตราของพระเจ้าก็ไม่อาจทัดทาน

“ไม่นะเพ็ญ พี่ยอมให้เพ็ญทำอย่างนั้นไม่ได้ พี่ยอมไม่ได้จริงๆพี่...”
ระพินพยายามที่จะแย่งชิงเอาสิ่งสุดท้ายไปจากเธอ ต่อหน้าต่อตาพระเจ้า...
“พี่ระพินมีผ้าเช็ดหน้ามั๊ยคะ...”
เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้เพ็ญ เธอจะซับน้ำตาที่หัวใจของเธอได้อย่างนั้นนะหรือ
“เพ็ญจะรอพี่ เพ็ญจะรอ วันใดก็ตามที่พี่ผ่านมา และพบผ้าเช็ดหน้าผูกอยู่ที่รั้ว... ขอให้พี่รู้ไว้ด้วยเถิดว่า เพ็ญรอพี่อยู่...ไม่ว่าจะนานสักแค่ไหนก็ตาม เพ็ญจะรอ...”

ใดๆในโลกล้วนเป็นอนิจัง...ประสาอะไรกับ...ความหวังลมๆแล้งๆ

เพ็ญผูกชายผ้าเช็ดหน้าข้างหนึ่งไว้ที่ลวดหนามรั้วเส้นบนสุด การรอคอยได้เริ่มขึ้นแล้ว...
“ไม่นะเพ็ญ พี่ขอร้องเพ็ญอย่าทำอย่างนี้เลย ได้โปรดเถิด...”
อีกครั้งที่เขาพยายาม และอีกครั้งที่ไร้ผล เธอพร้อมที่จะจมน้ำตาย
“เพ็ญจะรอพี่ ไม่ว่าจะนานสักเท่าใด นี่จะเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น ที่ทำให้เพ็ญศรัทธาการมีชีวิตอยู่...”
เธอไม่ยอมปล่อยใบไม้แห้งๆกำนั้น ยังคงกำไว้แน่นสุดชีวิต ระพินบรรจงจูบลง บนหน้าผากที่เย็นยะเยือกของเพ็ญ เพื่อจารึกส่งผ่านกราบลงที่ดวงใจอันแสนชอกช้ำของเธอ...ลาก่อนยอดดวงใจ...ลาก่อน ร่างของคนโชคร้ายจมดิ่งหาย ไปในสายน้ำ พร้อมกับความหวังสุดท้ายในกำมือ...แค่เศษใบไม้แห้งๆ..

ตราบใดที่ยังรอคอย
แม้จะเจ็บปวดร้าวสักเพียงใด
ก็ยังคงมีความหวัง...ให้ได้หวังได้เสมอ...

หญิงสาวเดินเข้าไร่ไปนานแล้ว และหัวใจของระพินก็ตามเธอกลับไปแล้วด้วย...เช่นกันเขายังคงเหลือเพียงวิญญาณ ในเรือนร่างที่ไร้ใจ... เช่นเดิม

ระพินหอบเอาวิญญาณในเรือนร่างที่ไร้ใจซมซานกลับมา กลับมาเพื่อทำหน้าที่ของเขา หน้าที่สามีที่ดี หน้าที่ที่พระจ้าได้ทรงบัญชา จากครอบครัวเล็กๆในห้องเช่าแคบๆ กับลูกน้อยๆที่น่ารักอีกหนึ่งชีวิต เป็นความมุ่งมั่นและตรากตรำอดออม บ้านและการศึกษาที่ดีสำหรับลูกชายคนเดียว คือความหวังของคนทั้งสอง ระพินเปลี่ยนงานใหม่เป็นคนขับรถประจำตำแหน่งผู้บริหารชาวต่างชาติ และเริ่มผ่อนบ้านทาวน์เฮ้าส์สองชั้น

จวบจนเวลาผ่านไป...ผ่านไป จิตวิญญาณเสรี แม้ชีวิตจะถูกพันธนาการ ในเรือนร่างที่ร้าวรานแม้ตัวตนจะถูกจองจำไว ้กับสามัญสำนึก... รับผิดชอบ ที่บนเก้าอี้หวายโยกริมระเบียง ในเรือนร่างที่ไร้ใจ จิตตานุภาพล่องลอยไกลแสนไกล ในสายพระเนตรที่จับจ้องแห่งพระผู้เป็นเจ้าเขาหลับ... หลับเพื่อที่จะตื่นขึ้นอีกครั้งในโลกแห่งความฝัน ...ฝันที่มีเธอผู้นั้น ...เพ็ญ

เบื้องหลังเปลือกตาคู่นั้น ภาระหน้าที่กับความจริง ยังคงเป็นสิ่งเดียวที่ฉกฉวยไขว่คว้า โอบเอาไว้แนบอก ด้วยชีวิตและจิตวิญญาณภาพผืนผ้าเช็ดหน้าที่ผูกอยู่บนรั้วลวดหนาม เรียงรายพัดพลิ้วโบกเรียกอยู่ไหวๆ ในห้วงภวังค์ที่ยังคงเด่นชัด มัดหัวใจเขาค้างคาอยู่บนนั้น รูปเงาของผู้หญิงคนหนึ่ง...มั่นคง...รอคอย...เฝ้าคอย ระพินผ่อนบ้านหมดแล้ว และจะเป็นบ้านหลังแรกของครอบครัว เป็นที่พักพิงของภรรยาและลูก

เมื่อนพพรเรียนจบแพทย์และแต่งงานมีครอบครัวเป็นบึกแผ่น มีการงานที่มั่นคง ระพินหมดกังวลที่จะฝากผู้เป็นแม่ไว้กับลูกชายของเธอ เขาหมดห่วงแล้ว เขาได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว แม้จะไม่สมบรูณ์นักก็ตาม ระพินได้เดินมาจนสุดปลายทางแล้วสำหรับความรับผิดชอบ เขาบอกกับตัวเองบอกกับพระเจ้า... ไหว้วอนต่อรองกับพระองค์

ราชโองการของพระเจ้า...มักจะส่งผ่านมา...ทางความเงียบ

วิญญาณของเขาไม่อาจทนให้หัวใจปวดร้าวได้อีกต่อไป วิญญาณของระพินไม่อาจ อยู่ได้อีกต่อไป ในเรือนร่างที่ไร้ใจ ระพินคิดถึงหัวใจของเขา หัวใจดวงนั้น...ดวงที่อยู่กับเพ็ญ...จินตลีลาแห่งความกล้ำกลืนของระพิน ปิดฉากลงพร้อมกับบันทึกหน้าสุดท้าย พระเจ้า...ท่านได้รังสรรค์สร้างและหล่อหลอมเขาขึ้นมาด้วยผงธุลีดินเพียง เท่านั้นนะหรือ...

นพพรกราบลาผู้เป็นพ่อของเขากับเพ็ญ ระหว่างหลุมศพของคนทั้งสองที่เนินดินแห่งนั้น ก่อนจะกลับเข้ากรุงเทพฯในวันรุ่งขึ้น พร้อมกับสมุดบันทึกวรรณกรรรมชีวิตช่วงหนึ่งของพ่อผู้ทุกทน

ความยุติธรรมกับความถูกต้อง
มักจะขัดแย้งกันอยู่เสมอ...ในเหตุผล
ความยุติธรรมกับความถูกต้อง
มักจะอยู่คู่กันเสมอ...บนเส้นขนาน

นายแพทย์นพพรกับสุนิภาตกลงตัดสินใจว่าจะมอบสมุดบันทึกของระพินเล่มนั้นให้กับหญิงชราผู้เป็นแม่ ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะปกปิด นายแพทย์นพพรคิดว่าผู้เป็นแม่ของเขาควรจะได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด เพื่อที่เธอจะได้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้เป็นสามี ความรู้สึกที่เธอไม่เคยเข้าไปถึงเลย

ความเชื่อสร้างศรัทธา...ความจริง...ปลดปล่อย

มีเพียงหญิงชราเท่านั้นที่รู้ว่า อะไรอยู่ที่สุดขอบฟ้าไกล เพราะทุกวันสายตาของเธอจะเฝ้ามองไป ณ ที่แห่งนั้น บนเก้าอี้หวายโยกที่ริมระเบียง ที่ที่สามีของเธอเคยนั่งเอนกายหลับตา...แอบโหยหาหัวใจ...ตัวเอง

“ แม่ครับ...”

ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงชรา เธอไม่ได้หลับ สองมือของเธอวางซ้อนกันอยู่บนตัก สายตาเหม่อมองไปยังที่สุดปลายขอบฟ้า และหัวใจของเธอก็อาจจะล่องลอยไปที่สุดสายตานั้นด้วย...

ชีวิต...จิตวิญญาณ...หัวใจ...
กดขี่ร่างกายเยี่ยงทาส...จนลมหายใจสุดท้าย

“แม่ครับ...ผมมีข่าวของพ่อจะบอกแม่ครับ”

เสียงนั้นราวกับว่าดังมาจากฟากฟ้า เก้าอี้โยกไหว หญิงชราถึงกับสะดุ้งประหนึ่งว่าเพิ่งตื่นจากฝันร้าย ชีวิตของเธอถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแล้วนานเหลือเกินที่ลูกชายของเธอไม่ได้เห็นแววตาเช่นนั้นของผู้เป็นแม่... ประกายตาแห่งชีวิต ร่างกายทุกส่วนของหญิงชราเสมือนได้หลุดพ้นจากพันธนาการที่ไร้ตัวตน จิตวิญญาณของเธอกลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ นายแพทย์นพพรไม่กล้าที่จะสบนัยตาคู่นั้นเลย

“พ่อ...พ่อของลูกอยู่ที่ไหน นพพร...บอกแม่...บอกแม่”

น้ำเสียงของผู้เป็นแม่หนักแน่นและชัดเจนทุกถ้อยคำ แม้จะระล่ำระลักไปบ้างก็ตามที แต่น้ำตาที่ไหลซึมออกมานั้นเล่า หมายความว่าอย่างไร นายแพทย์นพพรไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจเลย


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน

ในวังวนชีวิตที่เวิ้งว้าง...ว่างเปล่า
มนุษย์ดิ้นรน...ตะเกียกตะกาย ไขว่คว้า...เพื่ออะไร


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน

หน้า1 I หน้า2 I หน้า3 I หน้า4 I หน้า5 I หน้า6 I หน้า7 I หน้า8 I หน้า9 I หน้า10 I หน้า11

ความยิ่งใหญ่แห่งมหาสมุทรมีอยู่ในดวงตาด้วยหรือไร
ใยไม่รู้จักหมดสิ้น...

นายแพทย์นพพรนั่งก้มหน้านิ่งอยู่ที่ข้างๆตักผู้เป็นแม่ มองดูน้ำตาตัวเองที่หยาดย้อยลงมา
“พ่อ...พ่อเสียแล้วครับแม่...”
หญิงชราเหมือนสิ้นเรี่ยวแรง สองตาที่พร่ามัวของเธอมองผ่านม่านน้ำตา และจับอยู่ที่ใบหน้าของลูกชาย และมองลึกเข้าไปในนั้น...
“พระเจ้า...”
น้ำเสียงของหญิงชรากลับแหบแห้ง สองมือลูบลบทางน้ำตา ที่ยังคงไหลบ่าอาบแก้ม มีคำถามมากมายที่ซ่อนอยู่ในนั้น
“เมื่อไหร่นพพร สองสามวันที่ลูกหายไปนั่นใช่มั๊ยลูก”
“ครับแม่...ผมต้องกราบขอโทษที่ไม่ได้บอกแม่แต่แรก ผม...”
เสียงของผู้เป็นลูกชายขาดหายเข้าไปในลำคอ และจุกแน่นอยู่ที่หน้าอก
“พ่ออยู่ไหนนพพร ลูกรู้อะไรบ้างเล่าให้แม่ฟังเถอะนะ อย่าปิดบังแม่เลย”
ผู้เป็นแม่เหมือนจะวิงวอนขอความเห็นใจ มือข้างหนึ่งลูบหัวลูกชายไปมา ทั้งน้ำตานองหน้า

ความจริง...แม้ว่าจะขมขื่นสักเพียงใด
ปวดร้าวสักแค่ไหน
หัวใจก็พร้อมที่จะกล้ำกลืน

หญิงชรานั่งฟังลูกชายเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างสงบ โดยปราศจากการซักถามน้ำตาของเธอคงจะหยาดริน ออกมาจนหมดสิ้นแล้วกระมัง เธอนิ่งเงียบ คงค้างไว้เพียงเรื่องราวในบันทึกของผู้เป็นพ่อเท่านั้น ที่นายแพทย์นพพรยังไม่ได้เล่า เขาอยากจะให้ผู้เป็นแม่ของเขาได้อ่านด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะต้องขมขื่นสักเพียงใดก็ตาม ความจริงอาจจะทำให้หญิงชรารู้สึกผิดน้อยลง เขาเชื่ออย่างนั้น เชื่อในความรู้สึกที่ดีของผู้เป็นแม่ เชื่อในความเป็นแม่ แม่ผู้ขัดเกลาชีวิตเขาจากเบ้าหลอมของผู้เป็นพ่อ

วันนั้นทั้งวัน หญิงชราใจจดใจจ่ออยู่กับบันทึกเล่มนั้น ...เรื่องราวและความรู้สึกของผู้เป็นสามีของเธอ และดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้อ่านแค่ครั้งเดียวและไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เท่านั้นที่เธอต้องเสียน้ำตา ให้กับความปวดร้าวของสามีที่เธอเพิ่งจะค้นพบ บางทีเธออาจจะกอบเก็บเอาความรู้สึกเหล่านั้น เข้าไปไว้เป็นส่วนหนึ่งของเธอแล้วด้วย...

น้ำตากับความรัก... มาจากที่เดียวกัน..ที่หัวใจ...

หญิงชราวางบันทึกของสามีเล่มนั้นไว้แนบอก ราวกับว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้า สองมือสัมผัสลูบไล้อย่างทะนุถนอม เพราะคือส่วนหนึ่งของเขา อารมณ์ ความรู้สึก และวันเวลาที่ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีกแล้ว บนเก้าอี้โยกตัวนั้น อุมาหลับตาพริ้ม มีรอยยิ้มปนเปื้อนอยู่กับผลึกน้ำตา พระเจ้าเท่านั้นที่รู้และเข้าใจในน้ำตาหยดสุดท้ายของหญิงชรา ที่ได้ระเหยแห้งไปนานแล้ว

น้ำตาไม่อาจใช้ยังชีพ...ไม่ว่าจะแร้นแค้นเพียงใด

“ฉันไม่เคยคิดตำหนิคุณเลยระพิน ฉันขอขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณปฏิบัติต่อฉัน และให้เกียรติฉันเสมอมา อภัยให้ฉันด้วย...ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณมีเธออยู่ในใจตลอดเวลา คุณช่างใจร้ายกับตัวเสียเหลือเกิน ยกโทษให้ฉันด้วยนะเพ็ญ... ฉันคงไม่ตายเร็วจนเกินไปนักหรอก ขอให้เธอทั้งคู่อยู่ร่วมกัน ไปตราบชั่วนิรันดร์เถิด...”
อุมาวางช่อดอกไม้ลงกลางเนินดินอย่างสุภาพและอ่อนโยน ระหว่างหลุมศพของผู้เป็นสามีของเธอกับเพ็ญ...ผู้หญิงที่เธอไม่เคยรู้จัก โดยมีนายแพทย์นพพรกับลูกๆยืนอยู่ข้างๆ และบุญทองเฝ้ามองดูอยู่ไม่ห่างนัก ผ่านไปเสียทีสำหรับวันและเวลาแห่งความร้าวราน.... ขอบคุณพระเจ้า

พระเจ้า...เฝ้าดูความทุกทน
ทดสอบ...จิตวิญญาณ
แล้วก็รับความดีความชอบไป...ทุกครั้ง

“...ที่เพชรบุรี แม่ยังคงติดต่อกับพ่อของลูกทางจดหมาย ในขณะที่แม่ได้ปล่อยตัวปล่อยใจ ให้กับปลัดหนุ่มคนหนึ่ง แม่เริ่มได้คิดถึงความเป็นไปไม่ได้ระหว่างพ่อกับแม่ แต่แม่สงสารพ่อของลูก แม่ไม่อยากทำร้ายจิตใจเขา ไม่อยากให้ร้ายเขา แม่ต้องการเวลา แม่เหมือนคนหลอกลวง แล้วแม่ก็เริ่มขาดการติดต่อกับพ่อกับลูก จนวันหนึ่งเมื่อแม่ได้รู้ว่า ปลัดคนนั้นเขามีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว เขาหลอกลวงแม่ แม่ไม่อาจที่จะยอมรับสภาพเช่นนั้นได้ แม่อยากไปไหนก็ได้ ไปให้ไกลได้เท่าไหร่ยิ่งดี แม่ไม่อยากพบหน้าผู้คนที่แม่เคยรู้จัก แม่อับอาย... แม่ต้องการใครสักคน และคนคนนั้นก็คือพ่อของลูก...”

ถ้าความรักเป็นแขนขาของพระเจ้า
ความเห็นแก่ตัวก็คือข้าช่วงใช้ที่ซื่อสัตย์...ของซาตาน

ทั้งหมดนั้นเป็นคำบอกเล่าของอุมาเมื่อหลายปีก่อน คำให้การของนักโทษที่สำนึกผิด ความผิดพลาดครั้งหนึ่งของเธอ สิ่งเดียวที่เกาะกินความรู้สึกและฝังรากอยู่ในใจมานานแสนนาน ความลับที่สามีของเธอไม่เคยล่วงรู้ เขาไม่มีโอกาสที่จะได้รับรู้อีกแล้ว นายแพทย์นพพรได้เรียนรู้ว่า คนเราอาจจะผิดต่อใครก็ได้ เพียงขอโทษ... เพียงสำนึกผิด หรือไม่ก็ชดใช้...แต่ถ้าผิดต่อจิตใต้สำนึก ของตัวเองชีวิตจะหมดคุณค่า...ขาดความเชื่อมั่นและปราศจากจุดยืนนั่นเท่ากับว่าได้ให้ร้ายตัวเอง อุมาไม่ใช่หญิงชรา ผู้ที่เคยจองจำตัวเองไว้ กับอดีตอีกต่อไป วงหน้าอิ่มเอิบปราณี ชีวิตของหญิงชราเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง กับวันเวลาที่เหลืออยู่

ในห้วงแห่งพันธนาการใจ
กุญแจใจเท่านั้นที่จะไขให้หลุดพ้น
เพียงแต่ต้องหาให้พบกุญแจสำคัญดอกนั้น...ในใจ

บนเก้าอี้หวายโยกริมระเบียง หญิงชรานั่งโยกเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ ส่งรอยยิ้มน้อยๆไปยังที่สุดขอบฟ้าไกล ที่นั่น...ที่แห่งความเป็นนิรันดร์ ที่ซึ่งดวงวิญญาณสองดวงอยู่ข้างกันโลกยังคงหนุนอยู่ วันเวลายังคงผ่านไป และผ่านไป ร่างของอุมาผู้ชราภาพนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ล้อมรอบด้วยลูกหลาน ดวงตาที่เคยเปล่งประกายปิดสนิท เธอไม่รับรู้ถึงความรู้สึกใดๆอีกแล้วเธอได้ชดใช้แล้วด้วยวัน เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดและสิ่งเดียวที่นายแพทย์นพพร ผู้เป็นลูกชายของเธอสามารถรับรู้ได้ในขณะนั้นคือ... ผู้เป็นแม่ของเขาไม่ได้ตายโดยปราศจากพระเจ้า... บนเก้าอี้หวายโยกริมระเบียง...ว่างเปล่า หลังจากที่ได้แบกรับ อารมณ์และความคิดคำนึง ของผู้เป็นเจ้าของมาช้านาน

สายลมโชยพัดเก้าอี้โยก...
ไหวเอน...พักผ่อน
เหลือเพียงความทรงจำกับวันเวลาที่เหลืออยู่
และมันก็จะผ่านไปผ่านไป...
และผ่านไป...ในที่สุด.

----------------------------------------------------------- จบบริบูรณ์



สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน

ในวังวนชีวิตที่เวิ้งว้าง...ว่างเปล่า
มนุษย์ดิ้นรน...ตะเกียกตะกาย ไขว่คว้า...เพื่ออะไร


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน


หน้า1 I หน้า2 I หน้า3 I หน้า4 I หน้า5 I หน้า6 I หน้า7 I หน้า8 I หน้า9 I หน้า10 I หน้า11

ชีวิตมีเส้นทางให้เลือกไม่มาก
และถ้าหากมีโอกาสให้ได้เลือก
ใครบ้าง...จะปล่อยลอยหลุดไป

เขาได้ตัดสินใจแล้ว ระพินได้เลือกแล้ว ทุกอย่างเพื่อตัวเอง...เพื่ออุมา...เพื่อเพ็ญเพื่อที่พวกเขาทุกคนจะได้ดำรงค์ชีพ อยู่ได้บนรากฐานของความเป็นจริง ความจริงที่ทุกคนไม่อาจปฏิเสธ

ความจริงคือสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่...ใครเล่า...ที่กล้าปฏิเสธตัวเอง

และวันนั้นเอง วันที่ระพินไม่เคยคาดคิดมาก่อน วันที่ความเป็นไปได้ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าวันที่ชีวิตของระพินต้อง พบกับความหักเหครั้งยิ่งใหญ่ วันที่เขาไม่คิดว่าจะมี... วันที่กล้ำกลืนที่สุดในชีวิตของลูกผู้ชายที่ชื่อ...ระพิน เสียงเคาะประตูในวันนั้นเสมือนเป็นสัญญาณการแจ้งเตือนจากพระเจ้า....หรือไม่ก็ซาตา

ชีวิต...
แม้ไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้เลิศลอย
ก็ใช่ว่าจะสมหวัง...
ชีวิต...คาดหวังได้
แต่ไม่อาจคาดหมาย
เมื่อความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
ชีวิต...จะหวังอะไร

ระพินต้องตกตะลึงเมื่อเปิดประตูออกไป และพบอุมายืนอยู่ตรงนั้นกับกระเป๋าเดินทาง เธอยิ้ม...เป็นรอยยิ้มที่จืดชืดที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา
“อุมาตัดสินใจแล้วค่ะ อุมาจะใช้ชีวิตร่วมกับคุณ อุมาจะอยู่กับคุณ อุมารอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว พ่อแม่กับพี่ชายจะบังคับให้อุมาแต่งงานกับใครก็ไม่รู้”

ความหวังกำลังจะถูกปล้น...ฝันสลายแล้ว... ระพิน...ตื่นเถิด

เขายังไม่หายจากอาการตกตะลึง คำพูดของอุมาทำให้หัวใจเขากระเจิง... ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ ความเป็นไปได้ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าได้เองอย่างนั้นหรือ

ดวงดาวที่ทอแสงประกายอยู่บนฟากฟ้า
เมื่อร่วงลงมาสู่ดิน
ก็ไม่ต่างไปจากเม็ดหินหรือกรวดทราย
หาได้กลายเป็นเพชรนิลจินดาไม่

“ผมยังไม่พร้อมเลยอุมา...”
เขาเพียงพยายามที่จะปัดป้อง ด้วยสิ่งที่เขาสามารถไขว่คว้าได้ในขณะนั้น
“แล้วเมื่อไหร่เล่าคะ ที่คุณจะพร้อม อุมาลาออกจากงานแล้ว อุมาหนีมา อุมากลับไปไม่ได้อีกแล้ว”
เพียงความว่างเปล่าเท่านั้นเองที่ระพินคว้าได้มา อุมากอดเขาร้องไห้สะอึกสะอื้นสำลักน้ำตา ระพินได้ถูกพิพากษา แล้วนับตั้งแต่วินาทีนั้น โดยที่ไม่อาจอุทธรณ์หรือร้องขอ เขาทำได้เพียงยอมจำนน เขาทำได้แค่นั้น แค่นั้นจริงๆมันสายเกินไปที่จะอธิบาย สายเกินกว่าจะถามหาเหตุผล สายเกินกว่าจะร่ำร้อง....มันสายไปแล้วจริงๆ

ปราฏิหารย์ใดกันแน่...
ที่ทำให้ความปรารถนาของวันวานนี้...
กลายกลับเป็นสิ่งที่ขมขื่นที่สุด...ในวันนี้

ผู้หญิงคนหนึ่งยอมที่จะสละความสุขส่วนตัว ยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ ยอมหมดแล้วทั้งชีวิตระพินจะปฏิเสธ ผลักไสไปได้อย่างไรกัน ...เวลาแห่งการชดใช้ได้มาถึงแล้ว ระพินพยายามที่จะใคร่ครวญและขุดคุ้ย ทุกซอกทุกมุมจนที่สุดของหัวใจ ค้นหาความรู้สึกเก่าๆที่เขาเคยเก็บเอาไว้ที่ข้างในนั้น ความรัก...ความรักหายไปไหน

ความรักไม่เคยต้องโทษ
ความรักไม่ผิด...
หัวใจไม่มีสิทธิ์กักขังหน่วงเหนี่ยว

แล้วเพ็ญเล่า...เขาจะทำอย่างไรกับเธอ ระพินจะบอกเธอว่าอย่างไร โอ้...พระเจ้าได้โปรดประทานเส้นทางให้ เขาได้เลือกเดินอีกสักทางเถิด ระพินร้องขอด้วยหัวใจที่อาบน้ำตานอง เช้าวันนั้นที่ที่ทำงานเขาไม่พบเพ็ญเพื่อนร่วมงานบอกว่าพี่ชายกับพี่สะใภ ้ของเธอประสพอุบัติเหตุรถคว่ำ เพ็ญไปปากช่องตั้งแต่เมื่อคืน ระพินแทบคลั่ง ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้เขาควรจะทำอย่างไร เขาจะกระหน่ำตีซ้ำลงบนหัวใจที่เปราะบางของเธอได้หรือ...

กี่แสนล้านฝัน
กี่พันหมื่นหวัง
ที่ความจริงได้เคยทำลายมาแล้ว
...จนนับครั้งไม่ถ้วน

เพ็ญหายไปหนึ่งอาทิตย์ และกลับมาพร้อมกลับริ้วรอยบอบช้ำหมองไหม้ ริมฝีปากของระพินหนักอึ้งเหมือนถูกเย็บติดกัน
“พี่เสียใจด้วยนะเพ็ญ...”
เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเธอ เขากำลังจะให้ร้ายเธอ ระพินกำลังจะสาดสีด่างดำลงบนผ้าขาว...บนหัวใจของเธอ
“เพ็ญมาลาออกจากงาน เพ็ญอยู่ที่นี่อีกต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่มีใครดูแลพ่อกับแม่และหลานชายกำพร้า เพ็ญต้องกลับไป...พี่ไปพร้อมกับเพ็ญนะคะ เราไปทำไร่กัน ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ นะคะ...ไปกลับเพ็ญเถอะ"

น้ำเสียงปนสะอื้นกับสายตาที่วิงวอนของเพ็ญ หัวใจของระพินที่เหมือนมีเหล็กแหลมเป็นร้อยพันทิ่มแทงปักคาอยู่อย่างนั้น เขาไม่อาจกบฏต่อตัวเอง ระพินไม่อาจหล่อเลี้ยงหัวใจด้วยการ...ขายวิญญาณ พระเจ้า...เป็นเพราะพระองค์ไม่มีหัวใจหรืออย่างไรกัน จึงได้ทนเพิกเฉยดูดาย ไม่ยอมรับรู้ชะตากรรมในครั้งนี้
“เพ็ญ เพ็ญกลับไปก่อนนะ แล้วพี่จะตามไป ตอนนี้พี่ยังไม่พร้อมพี่...”
ระพินรู้สึกละอายใจอย่างเหลือเกิน กับคำพูดของเขาที่ได้ไต่ตรองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
“พี่ไปกับเพ็ญวันนี้เถอะนะคะ เพ็ญอยากกลับไปพร้อมกับพี่ เพ็ญไม่อยากสูญเสียพี่ไปอีกคน เพ็ญ...”
“พี่สัญญาจ๊ะเพ็ญ แล้วพี่จะตามไป เพ็ญเชื่อพี่นะ”

แม้แต่เรื่องาราวในพระคัมภีร์…
ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ
ประสาอะไรกับคำสัญญา...ปากเปล่า

เขาโยนเศษใบไม้แห้งให้เธอ...เธอผู้เปรียบเสมือนคนที่กำลังใกล้จะจมน้ำ ระพินเหมือนเจตนาจะฆ่าเธอ
“พี่ระพินสัญญาแล้วนะคะ เพ็ญเชื่อพี่ เพ็ญจะรอพี่...เพ็ญจะรอ...”
เพ็ญฉวยคว้าใบไม้แห้งไว้แน่นในกำมือ เธอไปแล้ว หัวใจของระพินก็ตามเธอไปแล้วด้วยเช่นกัน เขาเหลือเพียงวิญญาณในเรือนร่างที่ไร้ใจ ระพินเหลือเพียงร่างที่ไร้ใจ...เท่านั้น

ทุกคนเกิดมามีภาระและหน้าที่
...มีคนที่จะรัก...มีสักสิ่งหนึ่งที่จะหวัง...และรอคอย

ระพินไม่ได้ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเลย แม้วิถีชีวิตจะเปลี่ยนไป เขาไม่ใช่ผู้ชายตัวคนเดียวอีกแล้ว เขามีครอบครัว มีภาระและมีอีกชีวิตหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบ...อาจจะชั่วชีวิต เขายังคงทำงานที่นั่นต่อไปอีกโดยไม่มีเพ็ญ ตอนนั้นอุมาสมัครเข้าทำงานเป็นพนักงานบัญชีในโรงงานแห่งหนึ่ง และได้เริ่มทำงานในอีกอาทิตย์ต่อมา ห้องเช่าที่เคยรกไร้ระเบียบถูกจัดใหม่ดูเรียบร้อยสะอาดตา ด้วยการดูแลเอาใจใส่ของอุมา เธอทำหน้าที่ของเธอได้อย่างครบถ้วน โดยไม่เคยปริปากบ่น ไม่เคยทุกข์ท้อเรื่องความเป็นอยู่ ไม่เคยรังเกียจสามีคนขับรถ ที่จริงระพินน่าจะพอใจ แต่เขายังคงคิดถึงเพ็ญ ยังคงโหยหาหัวใจดวงนั้น...หัวใจของเขาเอง ชีวิตดำเนินไปตามแผนการณ์ของพระเจ้า จนหลายเดือนผ่าน ไประพินได้แอบลางานไปหาเพ็ญที่ปากช่อง เขาต้องพบเธอ ต้องบอกความจริงกับเธอ เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องหวังและ...รอคอย

พระเจ้า...ได้โปรดฆ่าเขาเสียเถิด...ก่อนที่เขาจะฆ่าใคร

เพ็ญดีใจมากเมื่อเห็นระพินในตอนแรก ดวงตาเธอเปลี่ยมล้นไปด้วยความหวัง ความหวังสุดท้ายที่ระพินกำลังจะพังทลายมัน ด้วยความปวดร้าวของเขาทั้งหมด เขาถูกบังคับขู่เข็ญโดยซาตาน...

ระพินตัดสินใจบอกความจริงทั้งหมดให้เพ็ญรู้ เธอนิ่งเงียบเป็นความเงียบที่โหดร้ายและปวดร้าวที่สุด ไม่มีคำวิงวอน ไม่มีเสียงสะอื้นไห้ ไม่มีน้ำตา พระเจ้าได้ขีดเส้น ทางเดินให้เธอเพียงสายเดียว... เช่นระพินเธอมองระพินด้วยความเข้าใจ มองชายผู้เป็นที่รักอย่างสุดแสนจะกล้ำกลืน และซบหน้านิ่งอยู่กับอกนั้นโอบกอดไว้แน่น เพราะนั่นจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเธอ ยังคงไม่มีเสียงสะอื้น ...ยังคงไม่มีน้ำตา บางที่มันอาจจะตกค้างท่วมท้นอยู่ในใจของเธอ...


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน

ในวังวนชีวิตที่เวิ้งว้าง...ว่างเปล่า
มนุษย์ดิ้นรน...ตะเกียกตะกาย ไขว่คว้า...เพื่ออะไร


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน


หน้า1 I หน้า2 I หน้า3 I หน้า4 I หน้า5 I หน้า6 I หน้า7 I หน้า8 I หน้า9 I หน้า10 I หน้า11

ถ้าชีวิตยึดติดกับจิตวิญญาณ
แล้วความรักเล่า...
จะยึดติดกับซากหัวใจที่ยับเยินแหลกราญ
...อย่างนั้น...นะหรือ

ระพินค่อยๆยืดแขนดันเธอออกจากพลังดูดดึงแห่งสัญชาติญาณ ด้วยแรงต้านทานแห่งสามัญสำนึกซึ่งเหลืออยู่น้อยเต็มทน
“ผมรักคุณ...อุมา รักมานานแล้ว และรักจนหมดหัวใจ รักอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงรักผู้หญิงคนหนึ่ง แต่คุณกำลังพูดถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันอยู่เหนือความจริงอุมา มันคือความปวดร้าวทั้งหมดของผม คุณกำลังตอกย้ำมัน...”
สองมือของเขาบีบเบาๆที่ต้นแขนของอุมา น้ำเสียงสั่นคลอ ดวงตาที่ร้าวลึกคู่นั้นของเขากำลังร่ำไห้

ครั้งหนึ่งพระเจ้าอาจจะเคยใส่หน้ากากซาตาน
ครั้งนี้มันถึงได้แอบอ้างเป็นพระเจ้า...ปลดปล่อย

“ได้โปรดเถิดอุมา ระงับอารมณ์เพียงชั่ววูบของคุณลงเสีย แล้วคิดใคร่ครวญดูใหม่บนบรรทัดฐานของความเป็นจริง อย่าหลอกตัวเองกันอีกเลย เราหนีไปไม่พ้นหรอก ตราบใดที่ทั้งคุณและผมยังคงอยู่ในสังคมแห่งนี้ สักวันมันจะต้องวกกลับมาหาเราจนได้ เชื่อผมเถอะ อุมา...”

น้ำมักจะไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ
น้ำตาก็เหมือนกัน

ระพินปาดน้ำตาที่ไหลเป็นทางข้างแก้มของอุมาด้วยสองมือที่สั่นระริก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า... แต่มันก็ยังคงรินไหลออกมา...กรีดใจ เขาได้เฆี่ยนตีหัวใจตนเองเสียจนแตกยับ ด้วยสายแส้น้ำตาของเธอ... ซ้ำแล้วซ้ำอีก...
“ให้เราได้เจ็บช้ำกล้ำกลืนเสียแต่วันนี้ เพื่อที่จะได้ลืมมันในวันข้างหน้า ดีกว่าที่จะต้องทนอยู่กับมันไปจนชั่วชีวิต ผมรักคุณ...อุมา ผมไม่ได้พูด...แต่หัวใจของผมบอกคุณ...อุมา”
ในที่สุดความเป็นไปไม่ได้ก็ชนะ ชัยชนะที่แลกมาด้วยความจริง ความจริงที่สุดแสนจะปวดร้าว

หัวใจเป็นแค่ก้อนเนื้อเล็กๆ
หรือมีเหล็กไหลผสมอยู่
จึงทานทนได้ถึงเพียงนี้

ระพินไม่ได้ไปทำงานอีกเลยตั้งแต่วันนั้น เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาไม่อาจสู้หน้าเธอ ไม่อาจที่จะเป็นตัวถ่วง ในการตัดสินใจของเธอ เขาไม่อาจเห็นแก่ตัวโดยใช้อารมณ์ของเธอเป็นเกาะกำบัง เขาละอายต่อพระเจ้า...เบื้องบนระพิน ได้เรียนรู้อีกครั้งถึงความหมายของคำว่ารักและการเสียสละเพื่อคนที่รัก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ทั้งมวล ที่เขาจะต้องเผชิญและอยู่กับมันไปอีกนาน

แค่ยอมที่จะตรอมตรม
ยอมที่จะสูญเสีย
ยอมที่จะมีชีวิตอยู่
แค่นั้นเอง...ให้
...ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นอีกแล้ว

...ถ้าเพื่อคนผู้เป็นที่รัก

อาจเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ปรารถนาให้ผู้ชายเช่นระพินต้องขมขื่นทุกทรมาน เพื่อที่จะได้รู้รสชาดและหลาบจำ โอ้...พระเจ้า ได้โปรดประทานพละกำลังให้กับเขาด้วยเถิด ระพินกำลังจะหมดแรง เขาเหมือนใกล้ตาย...พระเจ้าระพินรู้สึกเหมือน ลอยคว้างอยู่ในความมืดมน มองไม่เห็นอะไรเลย เขากำลังจะตรอมใจตายไปจริงๆอย่างนั้นหรือ และทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตู...ระพินได้ยินเสียงเคาะประตู จากภวังค์อันโหดร้ายทารุณระพินรวบรวมกำลังไปที่ประตูและผลักมันออกไป เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขายังคงค้างอยู่ในภวังค์นั้นอยู่อีกหรือ เพราะเบื้องหน้านั้นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนคลอน้ำตาอยู่ อุมา..อุมานั่นเอง
“พรุ่งนี้ อุมาจะต้องไปแล้ว อุมาอยากพบคุณเป็นครั้งสุดท้าย ให้อุมาเข้าไปได้ไหมคะ...”
ระพินไม่ได้ฝัน เขาพ้นจากภวังค์นั้นออกมาแล้ว ที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นล้วนเป็นภาพแห่งความจริง ขอบคุณพระเจ้า... อุมาโผเข้ามาร้องไห้คร่ำครวญปานว่าจะขาดใจ ระพินกอดเธอไว้แน่น เขาไม่ได้นึกถึงอะไรอีกแล้วนอกจากความปรารถนา... ปรารถนาของเขาคนเดียว...คนเดียวเท่านั้น...

ณ มุมหนึ่งของหัวใจในด้านมืด
มีเงาดำแอบลอบอยู่
และเมื่ออารมณ์อยู่เหนือจิตสำนึก
ซาตานร้ายก็พร้อม...ตะบบเหยื่อ

ความทุกทรมานขมขื่นเมื่อก่อนหน้านี้ของระพิน ได้รวมตัวตกตะกอนและจมหายไปในก้นบึ้งของหัวใจจนหมดสิ้น ที่เหลืออยู่นั้นเป็นแต่แค่เพียง...ปรารถนาแห่งหัวใจ

ความรัก…มักจะตกเป็นเหยื่ออันโอชะของซาตาน
พระเจ้าทรงรู้ดี...
เพราะพระองค์คือผู้วางเบ็ด

เขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ไม่มีแม้แต่เงาของอุมา เขาต้องฝันไปแน่ๆ ระพินบอกกับตัวเอง มันจะเป็นความจริงไปได้อย่างไร แล้วกระดาษที่พับวางอยู่บนหัวเตียงแผ่นนั้นเล่า เขารีบหยิบมันขึ้นมาและอ่าน...

ลาก่อนค่ะระพิน สำหรับวันนี้จะเป็นการจากลาแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ถ้าคุณมุ่งมั่นสร้างฝันของคุณให้เป็นจริง อุมาก็พร้อมที่จะก้าวเดินไปกับคุณในโลกแห่งความจริง
รักคุณ...อุมา

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ภาพฝัน ทุกข้อความในกระดาษแผ่นนั้นยืนยันได้ มันเป็นความจริง...ความจริงที่ต้องชดใช้... ความขมขื่นปวดร้าวที่ตกตะกอนอยู่ในใจระพิน ได้ฟื้นคืนขุ่นข้นขึ้นมาอีกครั้งเขาสะอื้นฟูมฟายซบหน้าลงกับหมอน ทุบที่นอนเหมือนคนบ้าฟั่นเฟือน เขาไม่มีจิตใจที่จะทำอะไร เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องนั้น อยู่กับความรู้สึกที่ถูกทารุณกรรม ความรู้สึกที่ไม่อาจลบล้างรอยมลทินที่เขาได้สร้างขึ้น

โลกคับแคบเกินไปไม่อาจเก็บความทุกข์เอาไว้ได้ทั้งหมด
แต่หัวใจกลับไม่เคยที่จะเพียงพอ
อาณาจักรใจไร้ขอบเขต...หรือไฉน

ระพินไม่เหลือความภาคภูมิใจไว้ให้จิตวิญญาณได้ศรัทธาและยึดเหนี่ยวอีกต่อไป เขาอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวังว่ามันจะทำให้เขากลับฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้งแต่ไร้ผล...

บางครั้งชีวิตช่างกล้ำกลืนตรอมตรม
เสียจนไม่มีที่ว่างเหลือไว้ให้จดจำความสุขใจ

ระพินติดอยู่ในโคลนตมแห่งความทุกท้อและสิ้นหวัง ไม่มีแม้ความเชื่อมั่นที่จะดิ้นดันเอาตัวเองขึ้นมาจากหล่มเลนที่สูบดึง... บั่นทอน...เขาได้รับจดหมายพร้อมที่อยู่ของอุมาในอีกอาทิตย์ต่อมา และจดหมายฉบับนั้นเองที่เรียกให้สามัญสำนึกของเขากลับมาอีกครั้ง พร้อมกับพลังใจที่เต็มเปี่ยม เขาจะจมปลักอยู่อย่างนั้นไม่ได้ เขาต้องลุกขึ้นมาเพื่อหยัดยืนท้าทายโชคชะตา ฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามทั้งปวง

ความเป็นไปได้มิได้ตกหล่นอยู่ตามริมทาง
หรือร่วงลงมาจากฟากฟ้าได้เอง
นอกจากจะต้องสร้างมัน ...

ระพิน...ที่รัก
อุมากลับถึงบ้านแล้วโดยสวัสดิภาพ อุมาคิดถึงคุณมาก ตอนนี้อุมายังไม่ได้ทำงาน อาทิตย์หน้าถึงจะไปรายงานตัวที่จังหวัดและเริ่มทำงาน คุณอยู่ทางนี้เป็นอย่างไรบ้าง อุมาไม่อยากให้คุณคิดมากเลย เพราะนั่นจะทำให้คุณท้อแท้หมดกำลังใจจะทำให้ความฝันของเราไม่อาจ เป็นจริงขึ้นมาได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนขับรถหรืออะไรก็ตาม คุณยังคงเป็นคนที่อุมารัก ขอเพียงคุณเป็นคนดี มุ่งมั่นสร้างตัวสร้างฐานะ สักวันเราจะสมปรารถนา อุมาเชื่อว่าคุณต้องทำได้ อุมาจะคอยให้กำลังใจและช่วยคุณอยู่ทางนี้อีกแรง เราจะช่วยกันนะคะ...ระพิน เพื่ออนาคตของเราสองคน อุมาขอยืนยันในความรักของอุมาที่มีต่อคุณ...คนเดียว ตอบจดหมายของอุมาด้วยนะคะ
รักคุณคนเดียว...อุมา

อุมาที่รัก...
บัดนี้ผมได้ยืนหยัดขึ้นมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง ด้วยกำลังใจจากคุณ ผมคิดถึงคุณมากเช่นกัน ไม่มีวันใดเลยที่รักที่ผมจะไม่คิดถึงคุณ ผมได้งานใหม่แล้วที่บริษัทแห่งหนึ่ง ผมจะพยายามสร้างตัวสร้างฐานะและอดออม เพื่อความฝันของผม ฝันที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ผมรัก และครอบครัวเล็กๆของเราจะอย่างไรก็ตาม ถ้าหากวันใดคุณได้พบผู้ชายที่คู่ควรกับคุณ และคุณรักเขา อย่าได้ลังเลคิดถึงผมเลยนะที่รัก ผมขอให้คุณตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ดีกว่า และได้โปรดวางใจ ผมจะไม่ตำหนิคุณเลยที่รัก
รักเหลือเกิน...ระพิน

เขากับอุมาไม่ได้พบกันอีกเลยตลอดระยะเวลาหนึ่งปีกว่า มีเพียงจดหมายโต้ตอบระหว่างกัน ที่บอกเล่าถึงอารมณ์ความรู้สึกความคิดถึง เรื่องราวและสังคมใหม่ของอุมากับความฝันที่ลางเลือนของระพิน ซึ่งนับวันยิ่งห่างไกล ห่างกันจนเขาต้องถามตัวเองเสมอว่า ทั้งเขาและอุมาต่างกำลังหลอกตัวเองกันอยู่หรือเปล่า

นอกจากพระเจ้าแล้ว
ก็มีแต่เพียงความพยายามเท่านั้น
ที่สามารถสร้างปราฏิหารย์ได้...


ระยะหลังอุมาไม่ค่อยจะมีเวลาเขียนจดหมายถึงระพิน โดยอ้างว่างานยุ่ง นานๆจะเขียนมาสักฉบับ แต่เธอยังคงรักเขาอยู่ ตามความเข้าใจของระพินและข้อความในจดหมายของเธอทุกฉบับ ซึ่งก็มีอยู่เพียงไม่กี่บรรทัดในช่วงนั้นเองที่ระพิน ได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกัน เธอชื่อเพ็ญ...เป็นพนักงานขายของหน้าร้านกินอยู่กับเถ้าแก่ เพ็ญเป็นคนซื่อๆคุยสนุก เปิดเผยจริงใจ เธอชอบระพิน เขารับรู้ได้ด้วยหัวใจ และความจริงก็เป็นเช่นนั้นอาจจะเป็นเพราะระพินเริ่มเบื่อหน่ายต่อความฝัน ที่ไม่มีวันจะเป็นจริง หรืออาจเป็นเพราะความห่างเหินของอุมา ที่ทำให้เขาเผลอใจ..

มีพบ...พลัดพราก
มีโหยหา...ลืมเลือน
มีเรืองรุ่ง...สูญสลาย
รักเป็นเช่นนี้...หรือมิใช่

ระพินกับเพ็ญเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น ความใกล้ชิดทำให้ระพินได้รู้จักเธอดีขึ้น...และรักเธอ รักอย่างเปิดเผยความรู้สึกบางอย่าง บอกกับเขาว่า ความรักระหว่างเขากับเพ็ญ จะมีแต่ความสมหวังและสมหวังเพียงอย่างเดียวเท่านั้นไม่ใช่ภาพสะท้อนที่ลวงตา ไม่ใช่ความฝันลมๆแล้งๆทุกอย่างสัมผัสได้ด้วยจริง
“พี่ต้องบอกเพ็ญหรือไม่ว่า พี่รักเพ็ญ”
ระพินกุมมือเธอไว้ และรู้สึกได้ทันทีว่าระหว่างเขากับเพ็ญไม่มีช่องว่าง ไม่มีกำแพงที่มองไม่เห็นมาขวางกั้นเอาไว้เลย
“มันยากนักหรือคะ ที่พี่จะพูดมันออกมา”
“ก็ได้...พี่รักเพ็ญ เพ็ญได้ยินชัดแล้วนะ...”
“ค่ะ...”
ระพินส่องพบตัวเองในดวงตาใสซื่อคู่นั้นของเธอ เขาสารภาพกับตัวเองหรือผู้ใดกันแน่ เขาไม่เคยเป็นตัวของตัวเองเช่นนั้นมาก่อนเลย รู้สึกโล่งสบายใจโดยที่ไม่ต้องคอยพะวงต่อจิตใต้สำนึกของตนเอง ไม่ต้องหวั่นเกรงต่อกฎเกณฑ์ทั้งปวง หัวใจของเขาพร้อมแล้วที่จะโบยบิน หัวใจดวงเดียวกันกับที่รักอุมา หัวใจดวงนั้น...หัวใจที่เคยอาดูร...ระพินตัดสินใจเล่าเรื่องราวระหว่างเขากับอุมาให้เพ็ญรับรู้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเป็นกังวล ถ้าหากว่าเขาทั้งสองจะใช้ชีวิตร่วมกันในวันข้างหน้า หัวใจของเขาเหมือนกับว่าได้ถูกปลดปล่อย ถึงเวลาแล้วที่ระพินจะต้องเลือก ระหว่างความฝันกับความจริง ระหว่างความเป็นไปไม่ได้กับความสมหวังระหว่างดวงดาวที่อยู่ ไกลสุดฟากฟ้ากับดอกหญ้าที่อยู่ใกล้พียงแค่เอื้อม
“ขอเวลาพี่หน่อยนะเพ็ญ”
“พี่จะทำอย่างไรคะ เพ็ญไม่สบายใจเลย เพ็ญกำลังจะเห็นแก่ตัวเพราะรักพี่มากเกินไป”

อีกครั้งที่ความรักถูกกล่าวโทษ
อีกครั้งที่ความรักต้องตกเป็นจำเลย
และอีกครั้งที่สันชาติญาณ...ลอยนวล

เธอเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาสามัญเท่านั้นเอง ระพินก็ด้วยเช่นกัน
"เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับเราทุกคนโดยเฉพาะอุมา... เธอจะใช้ชีวิตร่วมกับพี่ได้อย่างไร พี่ยังมองไม่เห็นทางเลย จนป่านนี้แล้วอุมาคงได้คิด พี่เชื่อว่าเธอจะเข้าใจและยอมรับความจริงได้ พี่อยากให้เพ็ญคิดแต่เพียงว่า พี่ทำทุกอย่างเพื่อตัวพี่เอง เพ็ญจะรักคนที่เห็นแก่ตัวอย่างพี่ได้มั๊ย”
“นั่นทำให้เพ็ญยิ่งรักและบูชาพี่มากขึ้น เพ็ญยอมรับทุกอย่างสำหรับการตัดสินใจของพี่ ...”


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน

ในวังวนชีวิตที่เวิ้งว้าง...ว่างเปล่า
มนุษย์ดิ้นรน...ตะเกียกตะกาย ไขว่คว้า...เพื่ออะไร


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน


หน้า1 I หน้า2 I หน้า3 I หน้า4 I หน้า5 I หน้า6 I หน้า7 I หน้า8 I หน้า9 I หน้า10 I หน้า11

ความรักขาวสะอาด...บริสุทธิ์
แต่เพราะมีรากเหง้ามาจากหัวใจจะ
ด่างจะดำไปบาง...จะเป็นไร

เขาและเธออยู่ที่นั่นจนเย็นเพราะอุมายังไม่อยากที่จะกลับ ระพินสังเกตเห็นว่าการที่เธอได้พูดคุยเล่าระบายออกมานั้นทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น ดวงหน้าของเธอเริ่มมีรอยยิ้มปรากฏ น้ำเสียงของเธอเริ่มสดใสชัดเจน วันนั้นระพินและอุมากลับกันจนมืด ในระหว่างทางที่นั่งอยู่บนรถสามล้อเครื่อง สายฝนก็ได้โปรยปรายลงมา ทั้งเขาและเธอขยับเข้าไปนั่งอยู่ตรงกลางเบาะจนตัวแทบจะเบียดกัน ระพินต้องเอามือกอดอกไว้เพื่อมิให้ถูกต้องตัวหญิงสาว แต่เท้าของเขาที่สัมผัสกับเท้าของอุมาโดยบังเอิญนั่นต่างหาก ที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหวั่นไหววาบหวิวจนตัวเบาเหมือนจะลอยได้ หัวใจกระเจิงไปแสนไกล ความรู้สึกทั้งหมดได้เลื่อนไหลมารวมอยู่ที่ปลายเท้าข้างนั้นจนหมดสิ้น เธอจะรู้สึกอย่างไร... จะเหมือนความรู้สึกของเขาหรือเปล่า ... ระพินแอบชำเลืองมอง แต่...เปล่าเลย ดูเหมือนเธอจะเป็นกังวลกับละอองฝนที่สาดเข้ามามากกว่า เธอไม่ได้คิดอะไรเลย...ระพิน

ลองค้นดูเถิดในหัวใจรกรักแต่
ต้องระวังสักนิดอาจจะมีอสรพิษซ่อนอยู่ในนั้นด้วยก็ได้

เขาเริ่มรู้สึกละอายใจ และค่อยๆเลื่อนเท้าถอยออกมาอย่างช้าๆไม่ให้เธอผิดสังเกต แล้วขยับตัวเพื่อให้เธอกระเถิบถอยเข้ามาหลบฝน ระพินเปียกชุ่มไปครึ่งตัว เขาไม่เคยลืมสายฝนที่เย็นฉ่ำชื้นชื่นใจและสัมผัสแรกของเขาในวันนั้นเลย

สุขในฝันกอดจันทร์ละเมอ...คืบเดียวเธอ...ใยห่างกันแสนไกล

ตั้งแต่วันนั้นเขากับอุมา มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันอีกเสมอๆในวันหยุด ไปทุกที่ที่เธออยากจะไป ...เริ่มมีคนเห็นคนทั้งสองในที่ต่างๆ และเริ่มมีเพื่อนร่วมงานล้อเล่น อุมาได้แต่ยิ้มน้อยๆไม่สนใจอะไร ระพินเสียอีกที่กังวลกลัวและเขินอาย ไม่เป็นตัวของตัวเองหวาดระแวงไปหมด สายตาของผู้คนรอบข้างที่มองเขาและเธอแปลกไป รวมทั้งเจ้านายของคนทั้งสองด้วย

ครั้งแล้ว ครั้งเล่า...ที่ความรักถูกเหยียบย่ำ
ครั้งแล้ว ครั้งเล่า...ที่ความรักถูกลบหลู่ดูหมิ่น
...มนต์รักไม่เคยเสื่อมสิ้น...

ความสัมพันธ์ของเขาและเธอเริ่มมีอุปสรรคในใจของระพิน เมื่อได้รู้ว่าพี่ชายของอุมาเป็นปลัดอำเภอ เขาเริ่มคิดมากต่างๆนานาในแง่ร้าย ในขณะที่อุมายังคงวางตัวปกติ และทำงานไปตามหน้าที่ของเธออย่างเคย ระพินรู้สึกว่าตัวเองช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน ในช่วงเวลานั้น เขาเหมือนคนมีปมด้อยน่ารังเกียจ กำแพงหนาที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าถูกก่อขึ้นในช่องว่างที่เคยกางกั้นระหว่างเขาและอุมา ระพินตำหนิฟ้าดินตัดพ้อพระเจ้าที่ให้เขาเกิดมาจน เป็นคนขับรถต่ำต้อยไม่คู่ควรกับเธอ

ไม่ใช่แค่ไกลจนเกินฝัน
แต่ฝันนั้นยังไกลเกินกว่าจะจินตนาการ...
ไกลเกินกว่าที่จะวาดวิมานในอากาศ

บนพื้นฐานของความเป็นไปไม่ได้ ยังคงเป็นได้แค่เพียงความเพ้อฝัน ที่ระพินยังคงยึดติดอยู่กับมันทั้งยามหลับและตื่น มันเป็นลมหายใจเข้าออกของเขาไปเสียแล้ว

ระหว่างความฝันกับความจริง...แค่เปลือกตาเท่านั้นที่กั้นไว้

ระพินจะรู้สึกเป็นสุขใจเฉพาะเมื่อตอนที่ได้อยู่ใกล้ๆอุมา ได้ไปเที่ยวด้วยกัน แต่หลังจากนั้นจะเฝ้าคิด คิดอยู่คนเดียว คิดถึงอนาคต คิดถึงการพลัดพราก และเริ่มปวดร้าวรุนแรง...ซ้ำซาก เรื่องทั้งหมดจะลงเอยเช่นไรในเมื่อเขายังคงเป็นได้แค่คนขับรถแล้ววันนั้นก็มาถึง เมื่อพี่ชายของอุมามาที่บริษัทในชุดข้าราชการเต็มยศ ระพินเหมือนยาจกเมื่อเทียบกับเขา สองพี่น้องคุยกันอยู่นาน ระพินเริ่มมีลางสังหรณ์บางอย่างในทางที่ไม่ดี และมันก็เป็นจริง
“พี่อานนท์ เขามาส่งข่าวเรื่องงาน สิ้นเดือนนี้อุมาคงต้องลาออกเพื่อกลับไปทำงานที่บ้าน...”
สีหน้าของอุมาเคร่งเครียดหมองหม่น แววตาหม่นไหม้ เวลาแห่งการพลัดพรากได้เริ่มต้นขึ้นแล้วตั้งแต่วินาทีนั้น หัวใจที่บอบช้ำอยู่ก่อนแล้วของระพินเริ่มด้านชา ในโลกนี้ไม่มีอะไรอีกแล้วที่ไม่อาจแบกรับ เขาไม่อาจแข็งข้อต่อพระเจ้า เขากำลังพ่ายแพ้...พ่ายแพ้ให้แก่ความเป็นไปไม่ได้...ความเป็นไปไม่ได้ที่รู้อยู่ก่อนแล้ว

สายน้ำแห่งความจริง...เชี่ยวกราดเกินกว่าความรัก...จะขวาง

“งานอะไรครับ...”
เสียงแห่งความกลืนกล้ำผ่านลำคอของระพินออกมา เขาฝืนใจถามทั้งๆที่อยากจะแทรกแผ่นดินหนีแล้วฝังร่างตัวเองอยู่ตรงนั้น
“งานราชการในจังหวัดค่ะ พี่อานนท์เป็นคนวิ่งเต้นฝากให้ อุมาไม่อยากไปเลย...”
ระพินถึงกับน้ำตาซึม เหมือนถูกจับมัดมือชก เหมือนนักโทษที่รอประหาร เหมือนใจจะขาดรอนๆ
“อุมาไม่อยากจากคุณไปเลย อุมารักคุณ อุมารักคุณ....”

ความรักบงการแล้ว...หัวใจก็พร้อมยอมสวามิภักดิ์...แล้วด้วย...เช่นกัน

เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองช่างเลวร้ายบัดซบเสียเหลือเกิน ที่ไม่กล้าสารภาพบอกรักอุมาก่อนหน้านี้ เป็นเพราะความขี้ขลาดไม่เอาไหนของเขาแท้ๆ.. เธอจึงต้องบีบคั้นหัวใจตัวเองเช่นนี้ อุมาสะอื้นไห้ยกมือปิดหน้าแล้วซบลงแนบอกเขา ระพินโอบร่างนั้นไว้ในวงแขนที่อ่อนล้า เหมือนกับมีเลือดก้อนหนึ่งจุกแน่นอยู่ที่ลำคอ เขารู้สึกเสียวแปลบแทบขาดใจที่ต้องกล้ำกลืนมันกลับเข้าไป น้ำตาไหลพรากออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาต้องหลับตาเพื่อจะปิดกั้นมันเอาไว้ แต่มันกลับยิ่งไหลพรั่งพรูออกมาบาดใจ...

หากน้ำตาพูดได้...
คงครวญคราง...โหยไห้
ไหว้วอน...ร้องขอได้
โปรดเถิด...เจ็บเหลือเกินทรมานเหลือเกิน...

ระพินกำลังจะขาดใจ เขากำลังจะตาย... ระพินได้ตายไปแล้ว... ตายไปแล้ว เขาบอกกับตัวเอง บอกกับพระเจ้า... ขอพระองค์ทรงนำทาง เสียงสะอื้นของอุมาปลุกให้เขาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ที่แสนจะทรมาน ผู้หญิงในอ้อมอกเขาผู้นี้เล่า จะปล่อยเธอไว้อย่างนี้หรือ สามัญสำนึกของระพินกระตุ้นเตือน จิตวิญญาณของระพินได้หวนกลับมาอีกครั้ง กลับมาเพื่อปลดปล่อยเธอ ให้พ้นจากห้วงแห่งพันธนาการกลางทะเลน้ำตาอันหนาวเหน็บและเจ็บลึก... สู่โลกของความจริง โลกที่เธอจะต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไป โลกของเธอ...โลกที่ระพินคิดว่ามันอยู่กันคนละฟากกับเขา


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน

ในวังวนชีวิตที่เวิ้งว้าง...ว่างเปล่า
มนุษย์ดิ้นรน...ตะเกียกตะกาย ไขว่คว้า...เพื่ออะไร


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน


หน้า1 I หน้า2 I หน้า3 I หน้า4 I หน้า5 I หน้า6 I หน้า7 I หน้า8 I หน้า9 I หน้า10 I หน้า11

หากความรักเป็นความผิด
การดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่นั้น
...สมควรได้รับการประนาม

แต่จากนั้นต่อมาอีกไม่นาน เขาได้สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างของอุมา ในความอ่อนหวานของเธอเหมือนจะแฝงไว้ด้วยความรันทดท้อ ในความร่าเริงแจ่มใสเหมือนจะกลบเกลื่อนกล้ำกลืน แววตาของเธอบางครั้งดูเหงาเศร้าจนยากที่จะหยั่งรู้ได้ แต่ไม่ได้ลึกเกินกว่าที่ใครจะคาดคะเนเลย
ระพินไม่ได้คิดไปเอง เพราะเมื่ออุมาได้ลางานกลับไปบ้านที่จังหวัดเพชรบุรีครั้งนั้น เธอกลับมาพร้อมด้วยอาการที่ชัดเจนยิ่งขึ้น อุมาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พูดน้อยเก็บตัวเงียบอยู่กับโต๊ะทำงาน บางครั้งเหม่อลอยเศร้าซึม จะอะไรก็ตามทีมันต้องปวดร้าวเสียจนเธอไม่อาจที่จะเก็บกั้นไว้ในแววตาได้ และจะอะไรก็ตามทีมันต้องมากมายเสียจนเธอไม่อาจที่จะปกปิดอำพราง
ระพินเฝ้าแอบมองดูด้วยความอาทรร้าวราน และถ้าหากทำได้เขาอยากที่จะรับเอาความบอบช้ำของเธอเหล่านั้นไว้เองทั้งหมด เพื่อความสดใสร่าเริงของเธอจะได้กลับคืนมาอีกครั้ง เพื่อเขา...

ก้านไม้ขีดริษยาแสงเทียน...ทั้งที่ต่างเผาผลาญตัวเองให้มอดไหม้

ระพินเข้าไปหาอุมา เธอยิ้มให้เขา เป็นยิ้มที่ปราศจากวิญญาณ รอยยิ้มของคนเจ็บปางตาย
“ครั้งหนึ่งผมเคยยืนอยู่ตรงนี้ ท้อแท้สิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยากในชีวิต และตรงนั้น...คุณยืนอยู่ หนักแน่นมั่นคง คุณถ่ายทอดพลังชีวิตให้ผม พรมน้ำทิพย์ราดรดใจคนพ่ายแพ้ จนผมสามารถหยัดยืนขึ้นมาได้อีกครั้ง อุมาผมรู้สึกละอายใจอย่างเหลือเกิน ที่ได้รับเอาสิ่งเหล่านั้นมาจากคุณเสียหมดสิ้น จนไม่เหลือไว้สำหรับให้คุณได้เยียวยาตัวเองเลย คุณเรียกเอามันกลับคืนไปได้มั้ย เพื่อที่มันจะได้ปลุกปลอบประโลม หล่อเลี้ยงทุกอณูชีวิตของคุณให้ฟื้นคืนดังเดิม เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องปวดร้าว ที่ได้แต่เพียงเฝ้ามองดูคุณทนทุกข์” หัวใจของระพินร่ำร้องวิงวอนต่อเธอ

ความเอื้ออาทร
เป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งของความรัก
...ที่เหลือคือร้าวราน

“อุมาเพียงต้องการเวลา เวลาเท่านั้นที่จะสมานบาดแผลครั้งนี้ได้”
คำพูดของคนบาดเจ็บ เหมือนเธอกำลังจะร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตาสักหยดที่เล็ดลอดออกมา มันอาจจะไหลย้อนคืนกลับเข้าไปยังที่ของมันอีก... น้ำตาเธอตกใน
“ได้โปรดอย่าให้เวลา ต้องทรมานคุณมากไปกว่านี้เลย อุมา...”
อุมาสบตาเขาเหมือนจะมองทะลุเข้าไปในก้นบึ้งของหัวใจ และถ้าหากว่าเธอสามารถเห็น เธอจะพบตัวเองอยู่ที่ข้างในนั้น...ในหัวใจที่อาบรักร้าวรานของระพิน

หัวใจบรรจุโลกเอาไว้ได้ทั้งใบ...แต่ซ่อนรักในใจนั้นกลับยากยิ่ง

“ผมขอโทษ ที่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณ...อุมา ผมเพียงแต่ไม่อยากเห็นคุณต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ผม...”
“ไม่เป็นไรค่ะระพิน คุณช่วยเตือนสติอุมาได้มากทีเดียว ขอบคุณมากค่ะ”
เพียงแค่นั้นเองที่เขาสามารถทำได้เพื่อคนที่รัก เพื่อดวงใจของเขา และก่อนที่ระพินจะก้าวพ้นออกมาจากห้องนั้น...
“พรุ่งนี้ อุมาจะไปสวนลุมพินี เราไปด้วยกันนะคะ”
หูของระพินไม่ได้ก่อกบฏ ทุกสัมผัสยังคงรู้สึก เธอยิ้มให้เขา แม้เพียงนิดเดียวที่มุมปาก แต่ความหมายนั้นแสนจะยิ่งใหญ่ ระพินตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก พรุ่งนี้เป็นวันหยุด และคืนนั้นก็ช่างยาวนานเสียนี่กระไร นานเสียจนเขาคิดไปว่าเวลาได้หยุดนิ่งเสียแล้วกระมัง โลกหยุดหมุนแล้วหรือ...

การรอคอยไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว
ไม่ว่าจะนานสักแค่ไหน
ก็ทำให้ทรมานใจได้ทุกครั้ง
แม้จะสักแค่เพียงอึดใจเดียว

เช้าวันนั้น เขาและเธอพบกันตามที่นัดหมาย ระพินไปถึงก่อนและหลบอยู่ตรงมุมหนึ่ง เมื่อเห็นอุมาเดินลงมาจากรถจึงเข้าไปหา และพยายามที่จะอยู่ห่างๆเธอ วินาทีนั้นชายหนุ่มหวาดกลัวสารพัด กลัวคนที่รู้จักเห็น กลัวเธอจะถูกนินทา กลัวเธอจะรังเกียจ กลัวความรู้สึกต่ำต้อยของตนเอง กลัวจนแม้กระทั่งเงาของตัวเอง อนิจจา...ระพิน

ความยุติธรรม...
บรรณาการขนมปังชิ้นหนึ่งให้เศรษฐี
แล้วโยนขนมปังอีกชิ้นหนึ่งให้ยาจกหิวโซ

สีหน้าและท่าทางของอุมายังไม่ดีไปกว่าวันก่อนเท่าไรนัก เซื่องซึม...เหมอลอย วันวาน...ยังผลาญใจ แต่เธอมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ครบถ้วนจริงๆ และดูเหมือนว่าจะมากกว่าระพินเสียด้วยซ้ำไป
ที่นั่น... ระพินเดินตามหลังอุมาอยู่ห่างๆ จมูกได้กลิ่นหอมที่โชยมาจากตัวเธอ เขาแอบสูดเข้าไปจนสุดขั้วหัวใจ อุมาเดินทอดน่องช้าๆเหมือนใช้ความคิด แต่ระพินกลับเดินช้ากว่า หลายครั้งที่หญิงสาวต้องหยุดเดินเพื่อรอเขา

ความรักศักดิ์สิทธิ์...สวยงาม...ถ้าปราศจากกฎเกณฑ์

“อุมาคิดว่ามาที่นี่คนเดียวเสียอีก คุณลำบากใจมากนักหรือคะที่จะเดินกับอุมา อุมาอยากมีใครสักคนอยู่ใกล้ๆ เพื่อที่อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวลำพังคนเดียว”
ระพินไม่ยอมห่างเธออีกแล้วแม้แต่ก้าวเดียว จมูกของเขายังคงได้กลิ่นหอมจากตัวเธออยู่ตลอดเวลา จนเขาคิดกลัวว่ามันจะจืดจางไปเพราะเขาเป็นต้นเหตุ ทั้งสองเดินไปได้สักพักก็หยุดนั่งที่ริมขอบสนามหญ้าข้างสระน้ำใหญ่ ทั้งเขาและเธอต่างนิ่งเงียบ ระพินไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี ได้แต่ปล่อยให้เวลาผ่านไป ผ่านไป และดูเหมือนว่ามันจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียจนเขารู้สึกเสียดาย
ทุกครั้งที่มองไปที่หอนาฬิกาเบื้องหน้า เวลาผ่านไป ผ่านไป... เขากับเธอนั่งกอดเข่าอยู่ไม่ห่างกันนัก หลายครั้งที่ระพินแอบมองเธอ เป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสมองเธอในระยะประชิดเช่นนี้ สายตาของอุมามองเหม่อไร้จุดหมาย ระพินไม่อาจรู้ได้เลยว่าเธอจับจ้องไปที่ใด

ดวงตาแม้ไม่บอดมืด...แต่บางครั้งกลับมองไม่เห็นอะไรเลย

“ระพิน มีคนรักแล้วหรือยังคะ”
อุมาถามขึ้น เธอไม่ได้มองหน้าชายหนุ่มด้วยซ้ำไป
“อย่าเรียกว่าคนรักเลยครับ”
“หมายความว่าอย่างไรคะ มีหรือไม่มีกันแน่”
เขาจะตอบเธอได้อย่างไร พระเจ้าเท่านั้นที่รู้

เมื่อดวงใจมีรักจึงได้รู้ว่า
...ชีวิตมีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหาย
บางสิ่งบางอย่าที่รอให้เติมเต็ม

“อย่าสนใจเลยครับ แล้วคุณล่ะอุมา...”
เขาเลี่ยงไป แต่ฉุกคิดได้ว่าไม่ควรย้อนถามไปอย่างนั้น เขาไม่แน่ใจว่าจะยอมรับสภาพตัวเองได้แค่ไหน
“มีแล้วค่ะ เรารักกันตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย”
เหมือนวิญญาณกำลังจะลอยออกจากร่าง เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจ ระพินเหมือนจะขาดใจ ที่ทรวงอกเหมือนถูกกดทับด้วยของหนัก หายใจเข้าออกขัดข้องไปหมด

รักตัวเองเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของความรัก
แม้จะไม่สง่างามนัก...แต่ก็ชอบธรรม...

“...เขาเพิ่งแต่งงานไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนนี้เอง...”
น้ำเสียงนิ่งๆของเธอ ได้ทะลายภูเขาที่ทับอยู่บนอกของระพิน ให้อันตรธานหายไปราวปาฏิหารย์ วิญญาณยังคงอยู่กับร่างเดิม เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากการที่ได้พูดคุยกันในวันนั้น ทำให้เขาได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วหญิงสาวกำลังอกหักหัวใจของเธอกำลังแตกสลาย ระพินไม่แน่ใจว่าวันนั้นเขาเวทนาสงสารเธอหรืออะไรกันแน่ เขาเหมือนได้เห็นแสงสว่างรำไรริบรี่อยู่ที่ปลายอุโมงค์ ทั้งที่อาจจะเป็นแค่เพียงแสงหิ่งห้อย แต่ที่ลึกลงไปในใจนั้น...แอบหวัง


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน

ในวังวนชีวิตที่เวิ้งว้าง...ว่างเปล่า
มนุษย์ดิ้นรน...ตะเกียกตะกาย ไขว่คว้า...เพื่ออะไร


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน


หน้า1 I หน้า2 I หน้า3 I หน้า4 I หน้า5 I หน้า6 I หน้า7 I หน้า8 I หน้า9 I หน้า10 I หน้า11

เวลา...ซาตาน...พระเจ้า
ต่างกันที่ความเชื่อ
เหมือนกันที่...ไร้ตัวตน

อรุณรุ่งเปิดฟ้า ดวงอาทิตย์โผล่พ้นทิวเขา ภายใต้กิ่งก้านใบที่ทอดยาวของต้นหางนกยูง ปรากฎร่างของชายชราผมหงอกขาวโพน โหยหาวันวานที่ไม่อาจจะหวนคืน ดอกหางนกยูงสีส้มที่ยังคงหล่นร่วง เหมือนจะหว่านประโลมให้กับความตรอมตรม อาหารเช้าที่จืดชืดกับแสงแดดหม่นๆริมระเบียง...อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว

การพลัดพราก...ไม่จะจากไป...หรือตายจากรดชาดก็มิได้เจือจางไปกว่ากันเลย

ในคืนที่พระจันทร์ทอแสงเฉิดฉาย ยายกับตาตำข้าวในร่างเงาของเจ้ากระต่ายน้อย กับดวงดาวที่เปล่งแสงระยิบระยับ...กลับไร้ค่าขมขื่นเมื่อฝืนมอง

พระเจ้าไม่เคยลืมลูกแกะ...ที่พลัดหลงอยู่ในทุ่งแล้งของพระองค์เลย

สุขภาพของระพินเริ่มทรุดโทรมซูบผอม ชายชราไม่มีกำลังที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เขาใช้เวลาที่เหลืออยู่ในช่วงสุดท้าย เขียนบันทึกเรื่องราวบางช่วงชีวิต ฝากไว้กับบุญทองเพื่อมอบให้ลูกชายคนเดียวของเขา คืนนั้นหลังจากที่บุญทองขอแยกตัวกลับไปบ้านที่อยู่ทางท้ายไร่นายแพทย์นพพรอยู่คนเดียว ที่กระท่อมซึ่งไม่ต่างไปจากสุสานเลย บรรยากาศวังเวงเงียบสงัด แปลกที่เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดเมื่อมองผ่านความมืดไปที่เนินดิน... อนุสรณ์สถานแห่งความเป็นนิรันดร์ พ่อของเขากับผู้หญิงที่รักคนนั้นกำลังหลับ นายแพทย์นพพรเปิดสมุดบันทึกของพ่อและเริ่มอ่าน...

อาจจะเป็นเพราะพระเจ้าเหงา
จึงได้สร้างโลกนี้ขึ้นมา
เพื่อให้เป็นโรงมหรสพของพระองค์
ทุกชีวิตเป็นเสมือนตัวละครตัวหนึ่ง
ที่ถูกกำหนดบทบาทไว้แล้ว...

สำหรับผู้หญิงที่สูงส่งและมีจิตใจที่ดีงามเช่นอุมา ระพินทำได้แค่เพียงรักและบูชา และเก็บความรู้สึกเหล่านั้นไว้ ในซอกที่ลึกที่สุดของหัวใจอย่างเจียมตัว แต่สำหรับเพ็ญ... ผู้หญิงที่พร้อมและเท่าเทียมกับเขา เขาไม่ใช่แค่เพียงรัก แต่ยังปรารถนาที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ มันเป็นความหวังของระพิน เป็นความตั้งใจจริงของเธอและเขา อาจเป็นเพราะเขาพบเธอช้าเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะจิตใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวในรักของอุมา หรืออาจเป็นเพราะระพินไม่อาจที่จะแยกเป็นสองร่างได้ โศกนาฏกรรมครั้งนี้จึงเกิดขึ้น ระพินได้แต่ตำหนิตัวเองที่ทำผิดต่อทุกคนที่เขารัก แต่เมื่อวันเวลาไม่อาจย้อนคืนกลับมาได้อีก เขาจึงขอเพียงให้ลูกชายได้เข้าใจ เพื่อที่บาดแผลครั้งนี้จะได้ไม่ต้องติดตัวลูกชายของเขาไปจนชั่วชีวิต ระพินยังหวังว่าวิจารณญาณที่ถูกต้องของลูกชาย จะไม่ทำผู้เป็นแม่ต้องเจ็บช้ำมากไปกว่าที่ได้รับอยู่

ความรัก...
ใครบ้างเล่า...ห้ามได้
เมื่อหัวใจบงการจะปวดร้าวสักเพียงใด
เจ็บช้ำสักแค่ไหน...
ก็ยังดิ้นรน...ไขว่คว้า

ระพินเป็นเพียงเด็กติดรถส่งของ ความรู้แค่ชั้นมัธยมต้น ขณะนั้นอุมาเป็นนักศึกษาฝึกงานบัญชีอยู่ที่บริษัทเดียวกัน เธอไม่ใช่คนสวย เสน่ห์ของอุมาอยู่ที่ความอ่อนหวานและจิตใจที่ดีงาม ร่าเริงไม่ถือตัว ระพินเฝ้าหมายปองดอกฟ้าอยู่เงียบๆ เขาพยายามมานะบากบั่น จากเด็กติดรถส่งของจนมาเป็นคนขับรถในที่สุด แค่นั้นเองสำหรับเขาผู้ยากไร้...เป็นได้อย่างมากก็แค่คนขับรถ เขาไม่เคยแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีต่ออุมา ระพินกล้ำกลืนปกปิดซ่อนมันไว้ในใจ

ความรักงอกงามอยู่ในจิตนาการ..ผลิดอกแย้มบานอยู่ในความระทม

ต่อมาอุมาเรียนจบและได้รับบรรจุให้เป็นพนักงานของบริษัท ในขณะที่ระพินยังคงเป็นคนขับรถส่งของผู้ต่ำต้อยเจียมตัวเช่นเดิม หนทางไปสู่รักมืดมน มีแต่ความเป็นไปไม่ได้กับความเป็นไปไม่ได้...และความขลาดกลัว เขากำลังเอื้อมดาวทั้งที่เท้าทั้งสองยังคงย่างเหยียบอยู่บนดิน การทำงานทำให้เขาและเธอได้ใกล้ชิดกันบ้างในบางครั้ง แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ระพินร้าวลึก อุมามักจะชวนเขาพูดคุยอยู่เสมอ บางครั้งระพินจะรู้สึกเป็นสุขจนลืมวรรณะคนขับรถของตนเอง แต่เขาหนีความจริงไปได้ไม่ไกล ที่สุดสิ่งที่อยู่ในใจมันก็ได้เริ่มกัดกร่อนอารมณ์ทีละน้อย...ทีละน้อย ทุกวัน...ทุกวัน

สุดฟากฟ้าสุดมือ...เอื้อมไป...ว่างเปล่า...

ระพินหันหน้าเข้าหาเหล้า ทุกวันหลังเลิกงานเขาจะดื่มแต่เหล้าเมาหัวราน้ำ กับเพื่อนที่ทำงานบ้าง คนเดียวบ้าง ไม่มีใครสนใจเหลียวแลในความผิดปกติของเขาเลย ไม่มีใครเลยจริงๆนอกจากเธอ... อุมาวันนั้นระพินเข้าไปเซ็นต์รับเงินเดือนที่ฝ่ายบัญชี ในห้องมีเพียงเขากับอุมาซึ่งทำหน้าที่จ่ายเงินและความเงียบ...ระทึก
“ทำไมเดี๋ยวนี้หัดดื่มเหล้าเมายา มีอะไรหรือเปล่าคะ ระพิน”
อุมาทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลจริงใจ หัวใจของระพินเริ่มตระหนกสั่นไหว
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากดื่มก็เท่านั้น”
เท่านั้นเอง เขาจะทำอะไรได้มากไปกว่านั้นเล่า

กับความรักเร้นที่ร้าวลึก...หัวใจเหมือนละลายแหลกเหลว...อยู่ในอเวจี

“แต่อุมารู้จักคุณมานาน ไม่เคยเห็นคุณทำตัวเหลวใหลให้ร้ายตัวเองอย่างนี้มาก่อนเลย”
เธอมองเขาเหมือนจะค้นหาบางสิ่ง ระพินเหมือนตกเป็นจำเลยในขณะนั้น
“คนเรามันเปลี่ยนแปลงกันได้ ไม่ใช่หรือ” เขาไม่ต้องการคำตอบเลย ไม่ต้องการเลยจริงๆ
“ใช่ค่ะ คนเรานั้นเปลี่ยนแปลงกันได้เสมอ แต่ก็น่าจะเป็นไปในทางที่ดี คุณไม่น่าทำตัวให้ตกต่ำเช่นนี้เลย อุมามองคุณผิดไป อุมาเคยนึกชื่นชมคุณที่ไม่ย่ำอยู่กับที่ พยายามดิ้นรนหาสิ่งที่ดีกว่าให้ชีวิต เดี๋ยวนี้คุณเป็นคนขับรถ ไม่ใช่คนยกของเหมือนแต่ก่อน คุณโตขึ้น อุมาไม่เคยคิดเลยว่าคุณจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้”
ระพินรู้สึกอบอุ่นอยู่ข้างในลึกๆ และเริ่มกลัวใจตัวเอง

คิดถึง...ทั้งที่อยู่ตรงหน้า..โอ้...ความรักช่างลึกล้ำ...เร้นลับ

“เลิกเสียเถอะค่ะ อย่ามอมเมาตัวเองอีกเลย อนาคตยังอีกไกล มีอะไรที่อุมาพอจะช่วยได้บ้างมั้ยคะ บางทีถ้าคุณได้พูดได้ระบายเสียบ้าง จะทำให้สบายใจขึ้นนะคะ อุมายินดีรับฟังค่ะ...”
ระพินหวั่นไหวสะท้าน ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเธอ หัวใจของระพินมันอยากจะร้องทุกข์...แต่จะกับใครกันเล่า
“ขอบคุณ สำหรับความห่วงใยของคุณ ไม่ต้องกังวลหรอกผมไม่ทำให้เสียงาน อีกอย่างผมมันก็แค่คนขับรถ ไม่มีค่าอะไรที่คุณจะมาสนใจใยดี”

เพราะจิตวิญญาณไม่ยอมคุกเข่า...หัวใจจึงถูกเชือดเฉือน

“คนขับรถไม่ใช่คนหรืออย่างไรคะ เราต่างทำงานทำหน้าที่ของเรา เราเท่ากันค่ะ”
เธอพูดโดยไม่ได้หยุดคิดด้วยซ้ำไป คำพูดประโยดนั้นของอุมา ดั่งน้ำทิพย์ชะโลมรดลงกลางทะเลทรายอันแห้งแล้งอับเฉาในใจของระพิน ให้ฉ่ำชื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันทำให้เขากล้า... กล้าที่จะมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ

แขนต่างหากที่สั้นเกินไป...ดวงดาวไม่ได้ไกลเกินเอื้อมคว้า

“คุณคิดอย่างนั้นจริงๆหรือ”
ดวงตาของระพินคาดคั้น ดวงใจของเขาอ้อนวอน...รอคำตอบ
“ทำไมคะ อุมาพูดผิดตรงไหน คุณต้องรู้จักให้เกียรติตัวเองบ้าง คุณมีค่าเสมออย่างน้อยก็สำหรับตัวเอง ถ้าคุณเพียงแต่ทำตัวของคุณให้มีค่า หยุดกดขี่ตัวเองเถอะค่ะ”
คำพูดในวันนั้นของอุมา ระพินจำได้ทุกประโยค ทำให้เขามีกำลังใจที่จะสู้...สู้กับอะไรก็ได้... สู้กับสิ่งที่ไม่มีตัวตน... สู้กับจิตใต้สำนึกของตัวเอง... สู้กับมหิทรานุภาพแห่งความเป็นไปไม่ได้

ชัยชนะ...
แม้จะต้องแลกมาด้วยชีวิต
ก็ยังดีกว่าที่จะต้องมีชีวิตอยู่อย่างผู้แพ้
สูญเสีย...เจ็บปวด...ชั่วชีวิต

ระพินเลิกมอมเมาตัวเอง ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอุมาเริ่มดีขึ้น ระพินเริ่ม ไม่รู้สึกประหม่าที่จะพูดคุยทักทายกับเธอ และเริ่มเรียนรู้ที่จะปวดร้าวอย่างเป็นสุข การที่ได้พบได้พูดคุย ได้อยู่ใกล้ๆคนที่รัก มันก็น่าจะเพียงพอแล้วมิใช่หรือสำหรับคนยากไร้เช่นเขา...


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2538


นันทวิสาร :: เขียน

ในวังวนชีวิตที่เวิ้งว้าง...ว่างเปล่า
มนุษย์ดิ้นรน...ตะเกียกตะกาย ไขว่คว้า...เพื่ออะไร

Positive Thinking Quotes and Saying